จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ความคิดเปิดผนึก
วิวาทะว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
อนุวัฒน์ ชลไพศาล

ในฐานะที่ผมถูก “ฝึกหัด” ให้เป็นนักเศรษฐศาสตร์ (คำกริยา “ฝึกหัด” (to train) เป็นคำกริยาเดียวกันกับคำที่ใช้กับ นกที่ “ฝึกหัด” ให้เลือกจิกอาหาร หรือ สุนัขที่ “ฝึกหัด” ให้ยืนด้วย 2 ขาหลังแล้วจะได้รับรางวัล) ผมเคยเชื่อเสมอว่า การเพิ่มพูนการค้าระหว่างประเทศจะนำมาซึ่งการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ปัจจุบัน ผมเริ่มลังเลใจ

เรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ ในฐานะนักเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์เราเชื่อว่า เมื่อแต่ละประเทศมีความถนัดในการผลิตสินค้าแต่ละชนิดไม่เท่ากัน ดังนั้น ถ้าให้แต่ละประเทศผลิตสินค้าที่ตนถนัดมากที่สุด แล้วนำมาค้าขายกัน จะทำให้ทุกประเทศมีสินค้าและบริการให้บริโภคเพิ่มขึ้น ซึ่งเท่ากับ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น (แต่จะเท่ากับมีความสุขเพิ่มขึ้นหรือไม่เป็นอีกเรื่องที่เถียงกันได้)

นโยบายการค้าระหว่างประเทศโดยเสรีจะทำให้ประชากรโลกมีสินค้าและบริการให้บริโภคมากกว่าที่จะให้แต่ละประเทศผลิตสินค้าทุกชนิดแล้วไม่ค้าขายกัน (สมมติให้โลกประกอบด้วยประเทศ 2 ประเทศ คือ A และ B แต่ละประเทศเลือกผลิตสินค้า 2 ชนิด คือ X และ Y โดยประเทศ A ผลิตสินค้า X เก่งกว่า (ใช้ปัจจัยการผลิตน้อยกว่า) ประเทศ B และ ประเทศ B ผลิตสินค้า Y เก่งกว่าประเทศ A หากเราให้ประเทศ A ผลิตแต่สินค้า X และประเทศ B ผลิตแต่สินค้า Y แล้วมาค้าขายกัน จะทำให้โลกมีสินค้า X และ Y ให้บริโภคมากกว่าที่จะให้ประเทศ A และ B ผลิตทั้งสินค้า X และY) นักเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์คุ้นๆ ไหมครับ

ความข้างต้นยังเป็นจริงแม้ในกรณีที่ประเทศ A จะผลิตทั้งสินค้า X และ Y เก่งกว่าประเทศ B นักเศรษฐศาสตร์ขนานนามปรากฏการณ์ (หรือความเชื่อ) ดังกล่าวว่า “ความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบ” (Comparative Advantage) แบบจำลองง่ายๆ ข้างต้น มีผลซับซ้อน

ผู้มีอำนาจในการกำหนดนโยบายใช้ลำดับเหตุผลจากแบบจำลอง ในการสนับสนุนนโยบายการเปิดเสรีการค้าขายกับต่างประเทศ, การเจรจาเขตการค้าเสรีระหว่างประเทศ (FTA), ส่งเสริมผู้ผลิตสินค้า OTOP ในการส่งออก โดยเชื่อว่า นโยบายการค้าระหว่างประเทศที่ดีเท่ากับนโยบายการค้าเสรี เพราะจะนำมาซึ่งสินค้าและบริการให้บริโภคเพิ่มขึ้นและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ

คนส่วนใหญ่ใช้ลำดับเหตุผลข้างต้น “ปิดปาก” คนส่วนน้อยที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายการค้าเสรีระหว่างประเทศ และ “ขับไล่” คนที่ไม่เห็นด้วยดังกล่าวไปเป็นฤษีชีไพรในป่าที่ไม่เห็นประโยชน์จากการติดต่อค้าขายกับผู้คน

ผมเห็นว่า ลำดับเหตุผลจากแบบจำลองง่ายๆ ข้างต้นสามารถอธิบายว่า เหตุใดสังคมปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะตีความพฤติกรรมการเก็บตัว ไม่สุงสิงกับใครในระดับปัจเจกว่า เป็นเรื่องผิดปรกติ (ก็คนปรกติเขาต้องเข้าสังคม และ นโยบายการค้าปรกติเท่ากับนโยบายการค้าเสรีไงครับ)

อย่างไรก็ตาม ผู้อ่านที่มีความละเอียดลออ (Rigorous) ก็ไม่ควรหลงเชื่ออะไรง่ายๆ โดยปราศจากหลักฐานเชิงประจักษ์ (Empirical Evidence) มาพิสูจน์ความเชื่อ

ความเชื่อเรื่องการเพิ่มพูนของการค้าระหว่างประเทศจะนำมาซึ่งความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เป็นวิวาทะในวงการเศรษฐศาสตร์ระหว่าง World Bank (1993) และ Cline (1982)

ด้านหนึ่ง World Bank (1993) อธิบายการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกระหว่างปี 2508-2533 ว่า เกิดจากการที่รัฐบาลในเอเชียตะวันออกดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจที่ “เป็นมิตรกับตลาด” (Market Friendly) โดยปัจจัยสำคัญอันนำมาซึ่งการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ คือ การส่งออก (Export as an Engine of Growth) งานวิจัยของธนาคารโลกฉบับนี้ยังเสนอคำแนะนำต่อว่า ประสบการณ์ความสำเร็จจากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของเอเชียตะวันออก ควรเป็นแบบจำลองของยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจ (Development Model) ที่กลุ่มประเทศยากจนต่างๆ ควรดำเนินรอยตาม

อีกด้านหนึ่ง งานวิจัยจำนวนไม่น้อยตั้งข้อสงสัยว่า สหสัมพันธ์ระหว่างการส่งออกและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมีมากน้อยเพียงใด และ การส่งออกเป็นปัจจัยกำหนดการเจริญเติบโต หรือ เป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม

Cline (1982) เสนอว่า คำแนะนำของธนาคารโลกที่ต้องการให้กลุ่มประเทศยากจนต่างๆ ใช้ยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมโดยเน้นการส่งเสริมการส่งออก (Export-Orientation Strategy) เป็นความหลงผิดในการใช้เหตุผล ที่เรียกว่า “Fallacy of Composition” เพราะ ยุทธศาสตร์การพัฒนาโดยเน้นการส่งเสริมการส่งออกจะประสบผลสำเร็จ ก็ต่อเมื่อ มีบางประเทศที่ใช้ยุทธศาสตร์การพัฒนาดังกล่าวเท่านั้น แต่หากทุกประเทศใช้ยุทธศาสตร์ส่งเสริมการส่งออกแบบเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกัน จะทำให้โลกประสบภาวะปริมาณการผลิตสินค้าล้นเกิน และ การกีดกันการค้าระหว่างประเทศ

พูดอีกนัยหนึ่ง คำแนะนำเรื่องยุทธศาสตร์การพัฒนาโดยเน้นการส่งออกของธนาคารโลกเป็นคำแนะนำที่นำไปสู่การ “ทำลายตนเอง” (ใช้ศัพท์ฝ่ายซ้าย) เพราะข้อแนะนำในเบื้องแรกที่หวังให้ทุกประเทศมีนโยบายการค้าเสรีระหว่างประเทศ จะนำมาซึ่งนโยบายการกีดกันการค้าในท้ายที่สุด

งานศึกษาใหม่ๆ ในประเด็นวิวาทะนี้ อาทิ Hallak and Levinsohn (2004) เสนอประเด็นเพิ่มเติม คือ หนึ่ง ผลของงานศึกษาเชิงประจักษ์ในอดีตไม่สามารถสรุปว่า การเพิ่มพูนการค้าระหว่างประเทศเป็นเหตุทำให้อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นเสมอไป

สอง วิธีการศึกษาในอดีตโดยการหาสหสัมพันธ์ทางสถิติระหว่างปริมาณการค้า, ระดับการเปิดประเทศ (Degree of Openness) กับ อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ มักประสบปัญหาไม่สามารถระบุว่าตัวแปรใดเป็นเหตุหรือเป็นผล (Causality Problem) และงานศึกษาเชิงประจักษ์ในอดีตจำนวนมากก็ขาดการนำตัวแปรที่ครบถ้วนร่วมพิจารณาในการศึกษา เช่น ปัจจัยทางภูมิศาสตร์ และสถาบัน เป็นต้น ทำให้ผลการศึกษาไม่น่าเชื่อถือ ทั้งยังไม่เกิดประโยชน์ในการกำหนดนโยบายการค้าระหว่างประเทศที่เหมาะสม

Hallak and Levinsohn (2004) เสนอว่า งานศึกษาในอนาคตนอกจากต้องแก้ปัญหาอันเนื่องมาจากวิธีการศึกษาที่บกพร่องข้างต้น ยังต้องตั้งคำถามของการศึกษาให้เล็กลงกว่าเดิม เช่น ผลของนโยบายการค้าเสรีต่อสินค้า X หรือ Y ไม่ใช่ ต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ A หรือ B ดังเช่นแต่ก่อน

ในยุคที่รัฐบาลใช้ความเชื่อเรื่องประโยชน์จากการเพิ่มพูนการค้าเพื่อสร้างความชอบธรรมในการเจรจาเปิดเสรีการค้าระหว่างประเทศดังเช่นปัจจุบัน ผมเห็นว่า เราควรตั้งข้อสงสัยต่อความเชื่อที่ว่า การเพิ่มพูนการค้าระหว่างประเทศจะนำมาซึ่งความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเสมอ

และแม้ว่า ความเชื่อดังกล่าวจะถูกพิสูจน์ด้วยหลักฐานว่าเป็นจริง เราก็ควรทบทวนว่า สังคมจะมีวิธีการจัดสรรผลประโยชน์และต้นทุนจากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจแก่สมาชิกในสังคมอย่างไร และท้ายสุด เราควรตั้งคำถามด้วยว่า การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นเป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจเพียงหนึ่งเดียวที่เราควรมุ่งไปหรือไม

ที่มา http://www.suretax-accounting.com/articles/economy/251-2010-11-25-22-51-02.html

เศรษฐศาสตร์

เศรษฐศาสตร์
        เนื่องจากวิชาเศรษฐศาสตร์เป็นวิชาทางด้านสังคมศาสตร์จึงไม่สามารถให้ความหมายที่แน่นอนตายตัวได้ นักเศรษฐศาสตร์จึงได้ให้ความหมายที่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับว่าจะมองในแง่ใด ความหมายของวิชาเศรษฐศาสตร์ในสมัยต่อๆมาจึงมีความหมายที่กว้างกว่าการจัดการครอบครัว

        วิชาที่ว่าด้วยการจัดสรรทรัพยากรเพื่อนำมาสนองความต้องการของมนุษย์ โดยให้เกิดประโยชน์และประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อความอยู่ดีกินดีของมนุษย์ ส่วนการผลิตทางด้านเศรษฐศาสตร์ หมายถึงการที่ เจ้าของทรัพยากร เจ้าของทุน เจ้าของแรงงาน และผู้ประกอบการ สามารถใช้ความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ เพื่อให้ปัจจัยการผลิตที่ตนมีอยู่นั้น ให้ผลตอบแทนแก่ตนเองมากที่สุด ช่วยผู้ประกอบการตัดสินใจใช้ปัจจัยการผลิตที่มีต้นทุนต่ำที่สุดเพื่อให้ได้กำไรมากที่สุด และการประยุกต์หลักธรรมตามพุทธเศรษฐศาสตร์มาใช้อธิบายได้ดังนี้ คือ ให้ใช้หลักของปัญญา ในการผลิต โดยให้คำนึงถึงประโยชน์ของผู้คนส่วนมากเป็นสิ่งสำคัญ

 การพิจารณาเลือกปัจจัยการผลิตทางเศรษฐศาสตร์

1. ที่ดิน พิจารณาถึงทรัพยากรธรรมชาติ เช่นป่าไม้ สัตว์ป่า น้ำฝน แร่ธาตุ ถึงความอุดมสมบูรณ์ ทิวทัศน์ 2. แรงงาน พิจารณาถึง วัย รวมถึงคุณภาพความรู้ ความสามารถ สุขภาพ ศีลธรรมและจริยธรรม 3. ทุน พิจารณาถึง สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นได้แก่ เครื่องมือ เครื่องจักร โรงงาน เป็นต้น 4. ผู้ประกอบการ พิจารณาถึงผู้ที่นำเอาปัจจัยทั้ง 3 มาทำการผลิต เมื่อเลือกแล้วควรนำมาพิจารณา

        โดยปกติหากมนุษย์ดำเนินชีวิตเพียงเพื่อปัจจัย 4 ทรัพยากรต่าง ๆ ย่อมสามารถสนองความต้องการของมนุษย์ได้ครบ แต่ในสภาพความเป็นจริงมนุษย์มีความต้องการไม่สิ้นสุดและทรัพยากรก็มีจำนวนจำกัด ดังนั้นจึงก่อให้เกิดปัญหาความขาดแคลนขึ้น เศรษฐศาสตร์จึงเป็นศาสตร์ที่เข้าไปคลี่คลายปัญหาความขาดแคลนดังกล่าว โดยหาทางออกให้กับมนุษย์ได้เลือกใช้ทรัพยากรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

        โดยธรรมชาติมนุษย์มีความต้องการตลอดเวลา และไม่มีที่สิ้นสุด แต่จำนวนสินค้าและบริการมีจำกัด ทำให้เกิดความไม่สมดุลระหว่างสินค้า บริการและความต้องการ จึงเกิดการเลือกที่จะต้องตอบสนองความต้องการ ในการเลือกทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งทำให้หมดโอกาสที่จะทำสิ่งอื่นไปโดยปริยาย เราเรียกว่าสูญเสียโอกาส จึงกล่าวว่าเมื่อตัดสินใจเลือกจะเกิดต้นทุนเกิดขึ้นพร้อมกันเราเรียกว่าต้นทุนค่าเสียโอกาส ดังนั้นการที่จะเลือกเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดมีต้นทุนต่ำสุด

        สรุปได้ว่า 1. ความต้องการมีไม่จำกัด (unlimited wants) 2. ทรัพยากรมีจำกัด (scarcity resources)..ทำให้เกิดความขาดแคลน 3. จึงเกิดการเลือก (choice) 4. เมื่อเกิดการเลือกสิ่งที่ตามมาคืออะไร.......................

         สินค้าและบริการ (goods and services) เป็นสิ่งที่มีอรรถประโยชน์(utility)คือสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ทำให้ผู้บริโภคได้รับความพอใจโดยไม่คำนึงว่าผิดกฏหมายหรือผิดศีลธรรม

         สินค้าไร้ราคาหรือทรัพย์เสรี (free goods) มีตามธรรมชาติ เกินความต้องการของมนุษย์ ใช้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เช่น น้ำ อากาศ แสงแดด

         สินค้าทางเศรษฐศาสตร์หรือเศรษฐทรัพย์ (economic goods) สินค้าที่มีต้นทุนการผลิต มีจำกัดเมื่อเทียบกับความต้องการ ต้องซื้อหรือจ่ายค่าตอบแทน

        การศึกษาและเข้าใจพฤติกรรมของหน่วยเศรษฐกิจต่างๆต้องเข้าใจพฤติกรรมของหน่วยเศรษฐกิจแต่ละหน่วย ในลักษณะที่เป็นส่วนย่อยและส่วนรวมของระบบเศรษฐกิจเพื่อเข้าใจการทำงานและปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจทั้งระบบได้ดียิ่งขึ้น

เศรษฐศาสตร์ แบ่งเป็น 2 สาขา

         เศรษฐศาสตร์จุลภาค microeconomics เป็นการศึกษาพฤติกรรมทางเศรษฐกิจในส่วนย่อย ครัวเรือนหรือธุรกิจเพียงหน่วยใด หน่วยหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการผลิต การบริโภค การกำหนดราคา การจำหน่ายจ่ายแจก เน้นไปทางการจัดสรรทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด เป็นการศึกษากิจกรรมทางเศรษฐกิจของบุคคล หรือกลุ่มของบุคคลเนื้อหาส่วนใหญ่ของเศรษฐศาสตร์จุลภาคเป็นเรื่องเกี่ยวกับราคาในตลาดแบบต่างๆ จึงเรียกอีกอย่างว่า ทฤษฏีราคา(price theory)

        เศรษฐศาสตร์มหภาค macroeconomics เป็นการศึกษาของเศรษฐกิจส่วนร่วม เป็นการศึกษาพฤติกรรมทางเศรษฐกิจทุกหน่วยในสังคมเช่นรายได้ประชาชาติ ระดับราคาสินค้า การกระจายรายได้ การคลังรัฐบาล การค้าระหว่างประเทศ การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ เป็นการศึกษากิจกรรมทางเศรษฐกิจระดับประเทศ ระหว่างประเทศ นักเศรษฐศาสตร์ที่สำคัญ
• อัลเฟรด มาร์แชล ผู้ริเริ่มทฤษฏีทางเศรษฐศาสตร์จุลภาคเป็คนแรก เขียนผลงานพฤติกรรมผู้บริโภค ผู้ผลิต (เสนอทฤษฎีว่าด้วยการผลิต) • จอห์น เมนาร์ด เคนส์ ผู้ริเริ่มทฤษฏี ทางเศรษฐศาสตร์มหภาคเป็นคนแรก ได้รับยกย่องว่าเป็น “บิดาของวิชาเศรษฐศาสตร์มหภาค” โดยเสนอ นโยบายวิธีแก้ปัญหาการว่างงาน การเงิน การคลัง การออม การลงทุน • อดัม สมิธ ชาวอังกฤษได้รับสมญา “บิดาแห่งวิชาเศรษฐศาสตร์” เขียนหนังสือ “An inquiry in to the Nature and causes of the Wealth of Nations” หรือ ความมั่งคั่งของประชาชาติ The Wealth of Nations เป็นหนังสือเศรษฐศาสตร์เล่มแรกกล่าวถึงทำอย่างไรประเทศจึงจะร่ำรวย พูดถึงเรื่องกลไกสำคัญที่เชื่อมโยงระหว่างสังคมกับธุรกิจให้ผลประโยชน์ร่วมกัน เรื่องกลไกของตลาด การกำหนดมูลค่าของราคาสิ่งของ การบริหารการคลัง การกระจายรายได้ การค้าระหว่างประเทศ ประเทศ ไทยมีหนังสือเกี่ยวกับวิชาเศรษฐศาสตร์เล่มแรกคือ “ทรัพย์ศาสตร์เบื้องต้น” เ รียบเรียงโดย พระยาสุริยานุวัตร เมื่อ พ.ศ. 2454 ต่อมาเปลี่ยนชื่อ เป็น “เศรษฐศาสตร์วิทยาภาคเบื้องต้น เล่ม 1”

 ประโยชน์ของเศรษฐศาสตร์

        เราศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์เพราะอะไร?..เพื่อได้เข้าใจปรากฏการณ์ต่างๆทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั้งสาเหตุและผลกระทบต่อบุคคล สังคม เพื่อรู้แนวทางที่จำนำไปแก้ไขหรือประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างมีเหตุผล
1. ช่วยให้สามารถซื้อหรือใช้ บริโภคสินค้าที่มีอยู่จำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด รู้จักใช้ รู้จักออม
2. เจ้าของปัจจัยการผลิต ใช้ความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ ตัดสินใจใช้ปัจจัยการผลิตที่ต้นทุนต่ำแต่เกิดกำไรสูงสุด
3. เข้าใจสถานการณ์ปัญหาเศรษฐกิจและปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้
4. ใช้ความรู้ในการจัดสรรทรัพยากร กำหนดนโยบายการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และรักษาผลประโยชน์ในการลงทุน การค้ากับต่างประเทศได้

 การวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์

การวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์แบบใดที่ถือว่าเป็นวิทยาศาสตร์ เพราะเหตุใด
1. เศรษฐศาสตร์ตามความเป็นจริง หรือ เศรษฐศาสตร์พรรณา (Positive หรือ descriptive economics) การศึกษาเศรษฐศาสตร์เป็นการศึกษาเพื่อให้เข้าใจพฤติกรรมของหน่วยเศรษฐกิจหรือระบบเศรษฐกิจในการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เพื่อให้รู้ว่าอะไรคือสาเหตุ ทำให้เราสามารถพยากรณ์เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงในสถาณการณ์ทั่วๆไปได้ โดยไม่คำนึงถึงเป้าหมายทางสังคม ไม่นำเอาจริยธรรม ค่านิยม ความคิดทางสังคมมาพิจารณาร่วมด้วย เช่น กรณีที่โรงงานอุตสาหกรรมปล่อยน้ำเสียลงสู่แม่น้ำ การศึกษาเศรษฐศาสตร์ตามความเป็นจริงจะศึกษาเพียงว่า น้ำในแม่น้ำเน่าก่อให้เกิดต้นทุนทางเศรษฐกิจและสังคมเป็นจำนวนเท่าไร จะไม่ชี้แนะว่ารัฐบาลควรจะดำเนินการเช่นไร เศรษฐศาสตร์ที่เป็นจริงถือว่าเป็นวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่ง เพราะการศึกษาสามารถให้ข้อสรุปที่เป็นกฏเกณฑ์ได้
2. เศรษฐศาสตร์ตามที่ควารจะเป็น หรือเศรษฐศาสตร์นโยบาย (normative หรือ policy economics) การศึกษาที่กล่าวถึงพฤติกรรมของหน่วยเศรษฐกิจ หรือระบบเศรษฐกิจโดยมีการสอดแทรกข้อเสนอแนะที่เห็นว่าถูกหรือควรจะเป็นลงไปด้วย โดยคำนึงถึงเป้าหมายทางสังคม

        สอดแทรกความต้องการของสังคม มีการนำเอาค่านิยม จริยธรรม แนวคิดทางสังคมเข้าร่วมพิจารณา เช่น รัฐบาลต้องการเพิ่มภาษีสินค้ารถยนต์ นอกจากศึกษาถึงผลกระทบต่างๆแล้วสิ่งที่อาจเกิดขึ้นยังศึกษาว่าการขึ้นภาษีดังกล่าวเป็นธรรมหรือไม่ ให้ข้อชี้แนะแก่รัฐบาลว่าควรหรือไม่ควรขึ้นภาษีสินค้าชนิดนั้นหรือไม่ เศรษฐศาสตร์ที่ควรจะเป็นจะให้ข้อสรุปที่แตกต่างกันแล้วแต่การวินิจฉัยของบุคคลว่าอะไรถูก อะไรควร ไม่อาจกำหนดเป็นกฏเกณฑ์ที่ตายตัวได้

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

AEC คืออะไร

AEC-ASEAN
AEC หรือ Asean Economics Community คือการรวมตัวของชาติใน Asean 10 ประเทศ โดยมี ไทย, พม่า, ลาว, เวียดนาม, มาเลเซีย, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, กัมพูชา, บรูไน เพื่อที่จะให้มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกัน จะมีรูปแบบคล้ายๆ กลุ่ม Euro Zone นั่นเอง จะทำให้มีผลประโยชน์, อำนาจต่อรองต่างๆ กับคู่ค้าได้มากขึ้น และการนำเข้า ส่งออกของชาติในอาเซียนก็จะเสรี ยกเว้นสินค้าบางชนิดที่แต่ละประเทศอาจจะขอไว้ไม่ลดภาษีนำเข้า (เรียกว่าสินค้าอ่อนไหว)
Asean จะรวมตัวเป็น ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนและมีผลจริงๆจังๆ ณ วันที่ 1 มกราคม 2558 ณ วันนั้นจะทำให้ภูมิภาคนี้เปลี่ยนไปอย่างมากอย่างที่คุณคิดไม่ถึงทีเดียว
AEC Blueprint (แบบพิมพ์เขียว) หรือแนวทางที่จะให้ AEC เป็นไปคือ
1. การเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียวกัน
2.การเป็นภูมิภาคที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันสูง
3. การเป็นภูมิภาคที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่เท่าเทียมกัน
4. การเป็นภูมิภาคที่มีการบูรณาการเข้ากับเศรษฐกิจโลก
โดยให้แต่ละประเทศใน AEC ให้มีจุดเด่นต่างๆดังนี้
พม่า : สาขาเกษตรและประมง
มาเลเซีย : สาขาผลิตภัณฑ์ยาง และสาขาสิ่งทอ
อินโดนีเซีย : สาขาภาพยนต์และสาขาผลิตภัณฑ์ไม้
ฟิลิปปินส์ : สาขาอิเล็กทรอนิกส์
สิงคโปร์ : สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ และสาขาสุขภาพ
ไทย : สาขาการท่องเที่ยว และสาขาการบิน (ประเทศไทยอยู่ตรงกลาง ASEAN)
การเปลี่ยนแปลงที่จะเห็นได้ชัดๆใน AEC โดยอธิบายให้เห็นภาพเข้าใจง่ายๆ เช่น
- การลงทุนจะเสรีมากๆ คือ ใครจะลงทุนที่ไหนก็ได้ ประเทศที่การศึกษาระบบดีๆ ก็จะมาเปิดโรงเรียนในบ้านเรา อาจทำให้โรงเรียนแพงๆแต่คุณภาพไม่ดีลำบาก
- ไทยจะเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว และการบินอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะว่าอยู่กลาง Asean และไทยอาจจะเด่นในเรื่อง การจัดการประชุมต่างๆ, การแสดงนิทรรศการ, ศูนย์กระจายสินค้า และยังเด่นเรื่องการคมนาคมอีกด้วยเนื่องจากอยู่ตรงกลางอาเซียน และการบริการด้านการแพทย์และสุขภาพจะเติบโตอย่างมากเช่นกันเพราะ จะผสมผสานส่งเสริมกันกับอุตสาหกรรรมการท่องเที่ยว (ค่าบริการทางการแพทย์ต่างชาติจะมีราคาสูงมาก)
- การค้าขายจะขยายตัวอย่างน้อย 25% ในส่วนของอุตสาหกรรมบางอย่าง เช่น รถยนต์, การท่องเที่ยว, การคมนาคม, แต่อุตสาหกรรมที่น่าห่วงของไทยคือ ที่ใช้แรงงานเป็นหลักเช่น ภาคการเกษตร, ก่อสร้าง, อุตสาหกรรรมสิ่งทอจะได้รับผลกระทบ เนื่องจากฐานการผลิตอาจย้ายไปประเทศที่ผลิตสินค้าทดแทนได้เช่นอุตสาหกรรมสิ่งทอ โดยผู้ลงทุนอาจย้ายฐานการผลิตจากประเทศไทยไปยังประเทศที่มีค่าแรงถูกกว่า เนื่องด้วยบางธุรกิจไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะมากนัก ค่าแรงจึงถูก
- เรื่องภาษาอังกฤษจะเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก เนื่องจากจะมีคนอาเซียน เข้ามาอยู่ในไทยมากมายไปหมด และมักจะพูดภาษาไทยไม่ค่อยได้ แต่จะใช้ภาษาอังกฤษ (AEC มีมาตรฐานแจ้งว่าจะใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางใน AEC) บางทีเรานึกว่าคนไทยไปทักพูดคุยด้วย แต่เค้าพูดภาษาอังกฤษกลับมา เราอาจเสียความมั่นใจได้   ส่วนสิ่งแวดล้อมนั้น ป้ายต่างๆ หนังสือพิมพ์, สื่อต่างๆ จะมีภาษาอังกฤษมากขึ้น (ให้ดูป้ายที่สนามบินสุวรรณภูมิเป็นตัวอย่าง) และจะมีโรงเรียนสอนภาษามากมาย หลากหลายหลักสูตร
- การค้าขายบริเวณชายแดนจะคึกคักอย่างมากมาย เนื่องจาก ด่านศุลกากรชายแดนอาจมีบทบาทน้อยลงมาก แต่จะมีปัญหาเรื่องยาเสพติด และปัญหาสังคมตามมาด้วย
- เมืองไทยจะไม่ขาดแรงงานที่ไร้ฝีมืออีกต่อไปเพราะแรงงานจะเคลื่อย้ายเสรี จะมี ชาวพม่า, ลาว, กัมพูชา เข้ามาทำงานในไทยมากขึ้น แต่คนเหล่านี้ก็จะมาแย่งงานคนไทยบางส่วนด้วยเช่นกัน  และยังมีปัญหาสังคม, อาชญากรรม จะเพิ่มขึ้นอีกด้วย อันนี้รัฐบาลควรระวัง
- คนไทยที่ใช้ภาษาอังกฤษได้ บางส่วนจะสมองไหลไปทำงานเมืองนอก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมซอร์ฟแวร์ (ที่จะให้สิงคโปร์เป็นหัวหอกหลัก) เพราะชาวไทยเก่ง แต่ปัจจุบันได้ค่าแรงถูกมาก อันนี้สมองจะไหลไปสิงคโปร์เยอะมาก แต่พวกชาวต่างชาติก็จะมาทำงานในไทยมากขึ้นเช่นกัน อาจมีชาว พม่า, กัมพูชา เก่งๆ มาทำงานกับเราก็ได้ โดยจะใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อกลาง  บริษัท software ในไทยอาจต้องปรับค่าจ้างให้สู้กับ บริษัทต่างชาติให้ได้ ไม่เช่นนั้นจะเกิดภาวะสมองไหล
- อุตสาหกรรมโรงแรม, การท่องเที่ยว, ร้านอาหาร, รถเช่า บริเวณชายแดนจะคึกคักมากขึ้น เนื่องจากจะมีการสัญจรมากขึ้น และเมืองตามชายแดนจะพัฒนามากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากเป็นจุดขนส่ง
- สาธารณูปโภคในประเทศไทย หากเตรียมพร้อมไม่ดีอาจขาดแคลนได้เช่น ชาวพม่า มาคลอดลูกในไทย ก็ต้องใช้โรงพยาบาลในไทยเป็นต้น
- กรุงเทพฯ จะแออัดอย่างหนัก เนื่องจากมีตำแหน่งเป็นตรงกลางของอาเซียนและเป็นเมืองหลวงของไทย โดยเมืองหลวงอาจมีสำนักงานของต่างชาติมาตั้งมากขึ้น รถจะติดอย่างมาก สนามบินสุวรรณภูมิจะแออัดมากขึ้น (ปัจจุบันมีโครงการที่จะขยายสนามบินแล้ว)
- ไทยจะเป็นศูนย์กลางอาหารโลกในการผลิตอาหาร เพราะ knowhow ในไทยมีเยอะประสบการณ์สูง และบริษัทอาหารในไทยก็แข็งแกร่ง ประกอบทำเลที่ตั้งเหมาะสมอย่างมาก แม้จะให้พม่าเน้นการเกษตร แต่ทางประเทศไทยเองคงไปลงทุนในพม่าเรื่องการเกษตรแล้วส่งออก ซึ่งก็ถือเป็นธุรกิจของคนไทยที่ชำนาญ อยู่แล้ว
- ปัญหาสังคมจะรุนแรงถ้าไม่ได้รับการวางแผนที่ดี เนื่องจาก จะมีขยะจำนวนมากมากขึ้น, ปัญหาการแบ่งชนชั้น ถ้าคนไทยทำงานกับคนต่างชาติที่ด้อยกว่า อาจมีการแบ่งชนชั้นกันได้, จะมีชุมชนสลัมเกิดขึ้น และอาจมี พม่าทาวน์, ลาวทาวน์, กัมพูชาทาวน์, ปัญหาอาจญากรรมจะรุนแรง สถิติการก่ออาชญากรรมจะเพิ่มขึ้นอย่างมากจากชนนั้นที่มีปัญหา, คนจะทำผิดกฎหมายมากขึ้นเนื่องจากไม่รู้กฎหมาย
การขนส่งที่เปลี่ยนแปลง East-West Economic Corridor (EWEC)
East-West-Economic-Corridor
East West Economic Corridor
จะมีการขนส่งจากท่าเทียบเรือทางทะเลฝั่งขวาไปยังฝั่งซ้าย เวียดนาม-ไทย-พม่า มีระยะทางติดต่อกันโดยประมาณ 1,300 กม.อยู่ในเขตประเทศไทยถึง 950 กม. ลาว 250 กม. เวียนดนาม 84 กม.เส้นทางเริ่มที่ เมืองท่าดานัง ประเทศเวียดนาม ผ่านเมืองเว้และเมืองลาวบาว ผ่านเข้าแขวงสะหวันนะเขตในประเทศ ลาว และมาข้ามสะพานมิตรภาพ 2 (มุกดาหาร-สะหวันนะเขต) ข้ามแม่น้ำโขงสู่ไทยที่ จังหวัดมุกดาหาร ผ่านจังหวัด กาฬสินธุ์, ขอนแก่น, เพชรบูรณ์ พิษณุโลก สุดที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก จากนั้นเข้าไปยังประเทศพม่าไปเรื่อยๆ ถึงอ่าวเมาะตะมะ ที่เมืองเมาะลำไย หรือมะละแหม่ง เป็นการเชื่อมจากทะเลจีนใต้ไปสู่อินเดีย
มันจะมีผลที่ดีคือ การขนส่ง logistic ใน AEC จะพัฒนาอีกมาก และจากาการที่ไทยอยู่ตรงกลางทำให้เราขายของได้มากขึ้นเพราะเราจะส่งของไปท่าเรือทางฝั่งซ้ายก็ได้ ทางฝั่งขวาก็ได้  ที่ดินในไทยบริเวณดังกล่าวก็น่าจะมีราคาสูงขึ้น
และที่พม่ายังมี โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ หรือโครงการ “ทวาย” (ศูนย์อุตสาหกรรมขนาดใหญ่,ท่าเรือขนาดใหญ่ ที่ปัจจุบัน Italian-Thai Development PLC ได้รับสัมปทานในการก่อสร้างแล้ว) ที่เส้นทางสอดคล้องกับ East West Economic Corridor โดยทวายจะกลายเป็นทางออกสู่ทะเลจุดใหม่ที่สำคัญมากต่ออาเซียน เพราะในอดีตทางออกสู่มหาสมุทรอินเดียจำเป็นต้องใช้ท่าเรือของสิงคโปร์เท่านั้น ขณะเดียวกันโปรเจกต์ทวายนี้ยังเป็นต้นทางรับสินค้าจากฝั่งมหาสมุทรอินเดียหรือสินค้าที่มาจากฝั่งยุโรปและตะวันออกกลาง โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มพลังงานไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน ก๊าซ ซึ่งจะถูกนำเข้าและแปรรูปในโรงงานปิโตรเคมีภายในพื้นที่โปรเจกต์ทวาย เพื่อส่งผ่านไทยเข้าไปยังประเทศกลุ่มอินโดจีนเช่น ลาว กัมพูชา และไปสิ้นสุดปลายทางยังท่าเรือดานังประเทศเวียดนาม และจะถูกส่งออกไปยังเอเชียตะวันออกอย่างญี่ปุ่นและจีน
ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งที่เราควรจะเตรียมตัวแต่เนิ่นๆ ที่สำคัญตอนนี้คือ ภาษาอังกฤษ อย่างน้อยๆเราก็จะได้สื่อสารทางธุรกิจได้ เพราะหากสื่อสารไม่ได้ เรื่องอื่นก็คงไม่ต้องทำอะไรต่อ  และถ้าจะหาลูกค้าแค่ในไทยก็อาจไม่เพียงพอแล้วเพราะ ธุรกิจต่างชาติก็จะมาแย่งส่วนแบ่งการตลาดของเราแน่นอน เรื่อง AEC จึงถือเป็นเรื่องใหญ่ ที่ธุรกิจและคนไทยต้องปรับตัวและเตรียมพร้อมให้ดี

ที่มา  http://www.thai-aec.com/41

"วิกฤติหนี้ยูโร " กระทบไทยแต่เอาอยู่

       
 แม้กรีซจะต่อลมหายได้ หลังนายแอนโตนิส ซามาราส หัวหน้าพรรคนิว เดโมเครซี (ND) ได้สาบานตนเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของกรีซเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2555 แต่ปัญหาวิกฤตในยุโรป ไม่ว่าจะเป็นหนี้เสียในภาคธนาคารในประเทศสเปน อิตาลี ไม่มีใครฟันธงได้วิกฤติครั้งนี้จะลามสู่ประเทศอื่นในยุโรป และกระทบต่อเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจไทยหรือไม่
           ดร.ธนวรรธน์ เชื่อวิกฤติยุโรปเอาอยู่
          ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ และรองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ตนยังมองในแง่บวก ว่าวิกฤติยูโรจะไม่ลาม ด้วยเหตุผลที่ว่าผู้นำประเทศและธนาคารกลางของแต่ละประเทศ มีธงตรงกันที่ว่า “เศรษฐกิจโลกพังไม่ได้” อย่างน้อยผู้นำสหรัฐ ฯ ก็ต้องพยุงประคองไม่ให้เศรษฐกิจสหรัฐ ทรุดตัวก่อนที่การเลือกตั้งจะมาถึงในเดือนพ.ย.นี้
          หรือการที่การประชุมจี 8 อัดฉีดเงินช่วยสภาพคล่องระบบแบงก์ในสเปน 1 แสนล้านยูโร และจีนที่ประกาศลดดอกเบี้ย รวมไปถึงการที่” ฟรองซัวส์ ออลลองด์ “ ประธานาธิบดีฝรั่งเศสเสนอให้เติมเงินอีก 5 แสนล้านยูโร ในกองทุนเพื่อเสถียรภาพทางการเงินยุโรป (อีเอ็ฟเอสเอ็ฟ) โดยยอมที่จะลืมกรีซ แต่ให้ตรึงสถานการณ์อิตาลี และสเปนให้ได้
          "ไม่มีใครบอกได้สถานการณ์ยูโรครั้งนี้จะนิ่ง ฝ่ายไทยก็ยังมองเป็น 2 มุม แต่ที่ทุกคนมองเหมือนกันคือไม่น่าจะสะเทือนหมด และธงของสหรัฐ ฯไม่มีการมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐปีนี้จะโตต่ำกว่า 2% ประกอบกับเงินเฟ้อที่ไม่สูง ทำให้สหรัฐฯมีพื้นที่ที่จะใช้มาตรการ QE 3 ได้ ซึ่งหากเงินเฟ้อสหรัฐฯอยู่ที่ 2.5% อัตราว่างงาน 8.2 % เศรษฐกิจสหรัฐจะโตได้ 2-2.5% ”
          ดร.ธนวรรธน์ กล่าวว่า บนสมมติฐานความเป็นไปได้ 3 ข้อกล่าวคือ 1.หากเศรษฐกิจยุโรป ติดลบ 0.5% ถึงติดลบ 0.9% เศรษฐกิจโลกจะเติบโตประมาณ 2-2.5% 2.กรณีที่เศรษฐกิจยุโรปติดลบ 1% ถึงติดลบ 2% เศรษฐกิจโลกจะโตประมาณ 1-1.5% และในกรณีนี้จะลากเศรษฐกิจสหรัฐไปด้วย และ 3.หากเศรษฐกิจยุโรปติดลบมากกว่า 2% เศรษฐกิจโลกจะโต 0-1% เท่านั้น และหากเป็นไปตามเงื่อนไขนี้จะกระทบถึงประเทศไทยด้วย
          ส่งออกวืดเป้า 15% แน่ปี 55
          นายไพบูลย์ พลสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สัญญาณภาคส่งออกไทยผ่านคอนเทนเนอร์เมื่อ15 ปีที่แล้ว เคยโตเฉลี่ย 10-15% แต่ 4 เดือนที่ผ่านมาเมื่อคำนวณเป็นปี เรากำลังจะเจอภาวะถดถอยประมาณ 5% หรือติดลบ โดยมีสัญญาณจากบริษัทเรือหลายประเทศที่โยงถึงสถิติการส่งออกไปยุโรปและสหรัฐอเมริกา หรือส่งไปอาเซียน มีการชะลอการนำเข้าของตู้เปล่าเข้ามาลดลงกว่า 30% จากที่ภาวะปกติคอนเทนเนอร์เปล่าต้องนำเข้ามาเกือบครึ่งหนึ่งของยอดอิมพอร์ต ซึ่งส่งสัญญาณว่า เดือน 5,6,7 ประเทศคู่ค้าหรือประเทศนำเข้าต่างวางแผนการไกลว่าสินค้านำเข้าลดลงแน่นอน หรืออย่างมากก็เท่ากับคอนเทนเนอร์ ของการนำเข้า
          สัญญาณที่บอกว่าไตรมาส 3 จะมีปัญหาแม้สหรัฐฯจะบอกว่าไตรมาส 3 จำนวนคอนเทนเนอร์เขาจะเพิ่มขึ้น แต่สิ่งที่บ่งชี้คืออัตราค่าระวางเรือ ประกาศขึ้นไม่สำเร็จ นั่นคือองค์ประกอบซัพพลายมากกกว่าดีมานด์ หรือจำนวนผลิตสินค้าเพิ่มแต่เพิ่มในอัตรากำลังที่ความสามาถราคาไม่เพิ่ม
          นายไพบูลย์ ยังประเมินอีกว่าผลกระทบจากวิกฤติยูโรทั้งทางตรงและทางอ้อม จะส่งผลให้ภาคส่งออกไทยปีนี้ไม่สามารถขยายตัวได้ตามเป้า 15% อย่างดีอาจขยายได้เพียง 8%
           ท่องเที่ยว ห่วงปัจจัยการเมืองในประเทศเป็นหลัก
          นายชิดชัย สาครบดี รองนายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวว่า ปัญหาผลกระทบต่อการท่องเที่ยวเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยปิดสนามบินแล้วเมื่อ 4-5 ปีที่แล้วและคนที่ทำให้นักท่องเที่ยวตลาดยุโรปหายไปก็คือ “นักการเมือง”
          ส่วนผลกระทบจากสถานการณ์ในยุโรปในภาพรวมตนยังไม่กังวล เพราะภาพรวมการท่องเที่ยวไทยไม่ได้ลดลง เพียงแต่สัดส่วนนักท่องเที่ยวที่มาจากยุโรปลดลง แต่นักท่องเที่ยวในกลุ่มเอเชีย โดยเฉพาะประเทศจีนเพิ่มค่อนข้างมาก โดยสัดส่วนตลาดเดิมเป็นยุโรป 40% เอเชีย 60% แต่ตอนนี้นักท่องเที่ยวจากยุโรปเหลือสัดส่วนเพียง 10% ที่เหลือมาจากเอเชีย กว่า 60% และอื่น ๆอีก 30%
          สถานการณ์วิกฤติในยุโรป ยังมีข้อดีตรงที่ว่าแม้จำนวนนักท่องเที่ยวจากยุโรปจะน้อยลง แต่จำนวนนักท่องเที่ยวที่น้อยลง กลับเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพเพราะเป็นระดับกลางและสูง
          รองนายกแอตต้า กล่าวต่อว่าเราหวังพึ่งตลาดยุโรปได้ค่อนข้างน้อยในเรื่องปริมาณ ดังนั้นผู้ที่ทำตลาดยุโรปต้องประคองไว้ให้ดี เพราะมีโอกาสที่ยุโรปจะกลับมามีเสถียรภาพ ซึ่งหากตลาดยุโรปกลับมีเสถียรภาพ เอสเอ็มอีที่จับลูกค้ากลุ่มนี้ก็จะสามารถลืมตาอ้าปาก จากคอนเน็ตชั่นและการสะสมประสบการณ์
          “ภาครัฐคาดหวังกับการท่องเที่ยวค่อนข้างสูง แต่การลงทุนให้ภาคธุรกิจท่องเที่ยวกลับค่อนข้างต่ำ เพราะเรามีทรัพยากรธรรมชาติ บริการเราแข็งแกร่ง ติดเฉพาะกลไกผู้ปฏิบัติ ถ้าจะให้นำเงินตราต่างประเทศเข้าประเทศ รัฐควรเห็นถึงปัญหาที่ภาคเอกชนสะท้อนปัญหา โดยลงมาดู”
          จับตาไตรมาส 3,4 สภาพคล่องตึงตัว-ต้นทุนเงินกู้พุ่ง
          นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ รองกรรมการผู้จัดการสายงานผลิตภัณฑ์บรรษัทและผู้ประกอบการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า วิกฤติยูโรที่เกิดขึ้น ทำให้ลูกค้าแบงก์ช่วงปีที่ผ่านมาเริ่มประสบปัญหาไม่ได้รับชำระเงินบ้างแล้วและที่เป็นปัญหา ก็คือ 1.ไม่เปิดแอลซี หรือ 2 ถึงเปิดแอลซี แบงก์ก็คอนเฟิรมไม่ได้ จากเครดิตคุณภาพที่แย่ลง
          สภาพคล่องการเงินตึงตัว โดยเฉพาะผู้กู้ที่ใช้เงินต่างประเทศ เนื่องจากสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้น้อยลง และต้นทุนการกู้สูงขึ้น ซึ่งจะกระทบชัดเจนในไตรมาส 3,4 นี้ และปัญหาอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินที่ผันผวน
          "การที่กรีซจะผ่าทางดันแก้วิกฤติหนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะลักษณะโครงสร้างการบริหารจัดการหนี้แตกต่างกับวิกฤติต้มยำกุ้งที่เกิดขึ้นกับประเทศย่านเอเชียหรือกรณีของไทยกล่าวคือ 1.โครงสร้างเงินกู้ของกรีซเป็นการกู้มาเพื่อใช้จ่าย ไม่ได้กู้มาเพื่อการลงทุน 2.กรีซมีปัญหาอัตราคอรัปชั่นในประเทศสูง 3.โครงสร้างรายได้หลักของกรีซมาจากภาคบริการ ไม่ได้ผสมผสานจากภาคอุตสาหกรรม เช่นกรณีของไทยที่มีทั้งท่องเที่ยว ภาคอุตสาหกรรมการผลิตอิเลคทรอนิกส์
          ปัญหาในยุโรปต้องใช้เวลาฟื้นฟู อย่างสเปนขณะนี้มีการว่างงาน 24% เยอร์มัน 5 % ในกรีซเกือบ 20% และในอนาคตกรีซก็น่าจะว่างงานมากขึ้นอีก และเทียบวิกฤติต้มยำกุ้งในเอเชียกว่าจะใช้เวลาเศรษฐกิจฟื้นได้ต้องนานถึง 10 ปี แต่ในยุโรปไม่รู้ว่าแนวทางจะทำได้หรือไม่ใน 2-3 ปีนี้ หากเป็นเช่นนั้นการฟื้นฟูก็อาจต้องใช้เวลานานร่วม 10 ปี” นายทรงพล กล่าว ก่อนทิ้งท้ายว่า
          การชักดาบระดับประเทศ อันเนื่องจากหนี้สาธารณะที่สูงประเทศไม่มีปัญญาใช้คืน ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์การเงินโลก ตรงข้ามกลับเป็นเรื่องปกติ เพราะจากสถิติทุก 100 ปี จะมีการเบี้ยวหนี้เกิดทุกครั้งเช่นออสเตรเลีย เคยชักดาบ 1 ครั้งเมื่อปี 1796 อังกฤษ 2 ครั้ง ,ฝรั่งเศส 8 ครั้ง, เยอรมัน 1 ครั้ง, โปรตุเกส 1 ครั้ง, สเปน 6 ครั้ง ฉะนั้นอย่าวางใจว่าประเทศใหญ่ ๆ ประวัติศาสตร์จะไม่ซ้ำรอย และนั่นอาจเป็นหนึ่งในการผ่าทางตันของวิกฤติของประเทศที่เจ้าหนี้ต้องยอมรับสภาพแฮร์คัต สูญเสีย เฉลี่ย ๆกันไป
          อ่านเพิ่มเติมหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ หน้า 16 เสวนาโต๊ะกลม เรื่องรับมือวิกฤติยูโร : ไทยพร้อมแค่ไหน ฉบับวางแผง 23 -27 มิถุนายน 2555


ที่มา  http://web.parliament.go.th/news/news_detail.php?prid=330048

โลกงัดแผนรับผลเลือกตั้งกรีซ

ธนาคารกลางขนาดใหญ่ทั่วโลกเตรียมความพร้อมเสริมสภาพคล่องหากสถานการณ์การเมืองในกรีซนำมาซึ่งความวุ่นวายทางเศรษฐกิจภายหลังการเลือกตั้ง ขณะที่ยุโรปส่งสัญญาณว่าพร้อมจะผ่อนผันเงื่อนไขเงินกู้ให้กับรัฐบาลใหม่กรีซ เพื่อโน้มน้าวให้กรีซยึดข้อตกลงรับเงินช่วยเหลือและอยู่ในยูโรโซนต่อไป
 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ธนาคารกลางของกลุ่มประเทศจี 20 เตรียมพร้อมที่จะร่วมมือดำเนินมาตรการเพื่อสร้างเสถียรภาพให้กับตลาดการเงินถ้ามีความจำเป็น ด้วยการเสริมสภาพคล่องและป้องกันการเกิดสินเชื่อตึงตัวหลังจากการเลือกตั้งครั้งสำคัญของกรีซในวันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน ซึ่งจะเป็นวันเดียวกับที่มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในฝรั่งเศส และการเลือกตั้งประธานาธิบดีในอียิปต์ด้วย
 เจ้าหน้าที่อาวุโสของจี 20 คนหนึ่งกล่าวด้วยว่า ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของความวุ่นวาย การประชุมฉุกเฉินระดับรัฐมนตรีของกลุ่มประเทศจี 7 อาจจะจัดขึ้นในวันจันทร์หรือวันอังคาร (18-19 มิ.ย.) ในระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มจี 20 ที่จะจัดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าวที่ประเทศเม็กซิโก ส่วนรัฐมนตรีคลังยูโรโซนมีกำหนดประชุมทางโทรศัพท์ในช่วงเย็นวันอาทิตย์เพื่อหารือเรื่องผลการเลือกตั้งในกรีซ
 ด้านประเทศอังกฤษโดยรัฐบาลและธนาคารกลาง เปิดเผยแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเป็นเกราะป้องกันผลกระทบจากวิกฤติในยูโรโซนที่เริ่มทวีความรุนแรงขึ้น ด้วยการอัดฉีดเงินกว่า 1 แสนล้านปอนด์เข้าสู่ระบบธนาคารผ่านการปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำให้กับธนาคารเพื่อให้นำไปปล่อยกู้ต่อให้ภาคธุรกิจและผู้บริโภค
 นอกจากนี้ธนาคารกลางอังกฤษจะเริ่มนำมาตรการรักษาสภาพคล่องฉุกเฉินมาใช้เป็นครั้งแรก โดยมาตรการดังกล่าวจะให้เงินกู้ระยะเวลา 6 เดือนแก่ธนาคารในอังกฤษแลกเปลี่ยนกับสินทรัพย์ค้ำประกันในวงกว้าง มาตรการดังกล่าวซึ่งจัดตั้งขึ้นเมื่อปลายปีก่อนได้รับการออกแบบมาเพื่อใช้รับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินที่ธนาคารถูกปิดตายจากตลาดทุนธรรมดา ซึ่งในกรณีที่สถานการณ์เลวร้ายลงอย่างกะทันหัน เช่น กรณีที่กรีซต้องออกจากยูโรโซน ธนาคารกลางก็พร้อมที่จะปล่อยเงินให้กู้ในทันที
 ขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) กล่าวในแถลงการณ์ภายหลังการประชุมนโยบายในช่วงวันพฤหัสบดีและศุกร์ (14-15 มิ.ย.) ที่ผ่านมา ยอมรับถึงความกังวลใจต่อสถานการณ์ในยุโรป พร้อมกับยืนยันว่าบีโอเจจะทำอย่างสุดความสามารถเพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินญี่ปุ่น
 เจ้าหน้าที่ทางการรายหนึ่งของยูโรโซนกล่าวว่า ความกังวลใจหลักถ้าพรรคซ้ายจัดของกรีซหรือซีรีซาชนะการเลือกตั้งอย่างท่วมท้น คือความเสี่ยงที่เงินทุนจำนวนมากจะไหลออกจากกรีซ เนื่องจากผู้ฝากเงินเกรงว่าเงินฝากในสกุลยูโรของพวกเขาจะถูกยับยั้งหรือเปลี่ยนเป็นสกุลเงินใหม่ในอนาคต
 ชาวกรีซเองก็เตรียมความพร้อมรับมือกับผลการเลือกตั้งที่แทบจะคาดเดาไม่ได้ว่าจะออกมาเป็นอย่างไร หลายคนไปถอนเงินฝากออกจากธนาคาร หรือโอนย้ายเงินออกนอกประเทศ รวมถึงมีการจ้างพนักงานรักษาความปลอดภัย กักตุนอาหาร ของใช้จำเป็น และเติมน้ำมันรถไว้เต็มถัง เจ้าหน้าที่ธนาคารกล่าวว่าในช่วงหลายวันที่ผ่านมา มูลค่าการถอนเงินออกจากธนาคารในกรีซพุ่งสูงขึ้น โดยผู้เชี่ยวชาญรายหนึ่งประเมินว่ามีเงินถูกถอนออกไปโดยเฉลี่ยวันละ 600-900 ล้านยูโร
 ขณะเดียวกันหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทม์ส รายงานว่า ทางการยุโรปพร้อมที่จะผ่อนปรนเงื่อนไขบางประการให้กับรัฐบาลใหม่ของกรีซ อาทิ การลดอัตราดอกเบี้ยและยืดระยะเวลาการใช้หนี้ของเงินช่วยเหลือ รวมถึงการมอบเงินของสหภาพยุโรป (อียู) ให้กับโครงการของรัฐผ่านธนาคารลงทุนยุโรป (European Investment Bank) อย่างไรก็ดี กรีซจะได้ประโยชน์จากมาตรการเหล่านี้ก็ต่อเมื่อพรรคประชาธิปไตยใหม่ของนายอันโตนิส ซามาราส ซึ่งสนับสนุนแผนรัดเข็มขัดชนะการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จเท่านั้น
 กระนั้นยูโรโซนก็ไม่ได้ปิดโอกาสที่จะเจรจากับนายอเล็กซิส ซีปราส ผู้นำพรรคซีรีซาด้วยข้อเสนอเดียวกัน หากพรรคซีรีซาสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการชนะการเลือกตั้งเหนือพรรคของนายซามาราสและเป็นผู้นำรัฐบาลใหม่ แม้ช่วงที่ผ่านมานายซีปราสจะมีท่าทีอ่อนลงเล็กน้อยเมื่อพูดถึงการรับเงินช่วยเหลือ แต่หลายฝ่ายไม่เชื่อว่าหัวหน้าพรรคซีรีซาจะยึดมั่นกับการลดการขาดดุลตามเงื่อนไขของแผนรับเงินช่วยเหลือมูลค่า 1.74 แสนล้านยูโรในปัจจุบัน
 เจ้าหนี้ของกรีซพยายามหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงความเป็นไปได้ในการผ่อนปรนเงื่อนไขรับเงินช่วยเหลือก่อนการเลือกตั้งจะเกิดขึ้น เพราะเกรงว่าจะยิ่งเป็นการเพิ่มน้ำหนักข้อโต้แย้งของนายซีปราสและเพิ่มคะแนนนิยมให้กับพรรคซีรีซา ซึ่งผลการสำรวจคะแนนนิยมครั้งสุดท้ายเมื่อต้นเดือนมิถุนายนพบว่าทั้งพรรคซีรีซาและพรรคประชาธิปไตยใหม่มีคะแนนสูสีกัน และนอกจากข้อเสนอที่มีการตระเตรียมไว้ เจ้าหน้าที่ทางการย้ำชัดว่าพวกเขาคัดค้านการผ่อนผันเงื่อนไขตามที่ชาวกรีซเรียกร้อง โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนเป้าหมายหรือยืดเวลาการลดการขาดดุลออกไป


ที่มา  http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=127126:2012-06-15-12-19-50&catid=90:2009-02-08-11-24-34&Itemid=425

ส.อ.ท.หวั่นเลือกตั้งกรีซ-วิกฤติยุโรป กระทบส่งออกไทย

นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า แม้ปัจจัยสถานการณ์การเมืองในประเทศจะคลายความกังวล หลังจากจะมีการปิดประชุมรัฐสภา สมัยสามัญนิติบัญญัติ ในวันที่ 19 มิถุนายนนี้  แต่ภาคเอกชนยังกังวลปัญหาวิกฤติในยุโรป และเป็นเรื่องที่ดี ที่รัฐบาลจะหันมามุ่งหน้าแก้ไขปัญหาโดยเฉพาะผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก
"เป็นเรื่องดีที่นายกรัฐมนตรี ได้แต่งตั้งคณะกรรมการร่วม ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ กระทรวงการคลัง แบงก์ชาติ และกระทรวงพาณิชย์ เพื่อติดตาม และหามาตรการรับมือจากปัญหายุโรปที่ขณะนี้ " นายธนิต กล่าวและว่าภาคเอกชน มีความกังวลต่อการเลือกตั้งของกรีซที่จะนำไปสู่สถานภาพในกลุ่มอียู และกังวลว่า ปัญหาดังกล่าวจะลุกลามไปยังประเทศผู้ค้าในอาเซียน จีน และ ญี่ปุ่น ซึ่งจะส่งผลกระทบทางตรงและทางอ้อม ต่อภาคการส่งออกของไทย อย่างไรก็ตามส่งผลกระทบด้านค่าเงินนั้น ภาคเอกชนมั่นใจว่า ภาครัฐจะดูแลได้ให้ค่าเงินบาทเป็นไปในทิศทางเดียวกับประเทศเพื่อนบ้าน


    ที่มา http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=127217:2012-06-16-08-30-43&catid=176:2009-06-25-09-26-02&Itemid=524
เศรษฐศาสตร์คืออะไร

            เศรษฐศาสตร์เป็นวิชาการแขนงหนึ่งของสังคมศาสตร์ ได้ก่อตัวและมีพัฒนาการต่อเนื่อง
จนมีสถานภาพเป็น “ศาสตร์” นับตั้งแต่มีการตีพิมพ์ตำ ราทางเศรษฐศาสตร์เล่มแรกของโลก ซึ่งมี
ชื่อค่อนข้างยาวว่า An Inquiry into the Nature and Causes of the Wealth of the Nation เมื่อ
ค.ศ.1776 ผู้เขียนเป็นชาวอังกฤษ ชื่อ อดัม สมิธ (Adam Smith) ซึ่งได้รับยกย่องว่าเป็นบิดาแห่ง
วิชาเศรษฐศาสตร์ระดับสากล และนับจากนั้นเป็นต้นมา การศึกษาทางเศรษฐศาสตร์ ก็ได้ขยายตัว
และครอบคลุมเนื้อหาอย่างกว้างขวางมากขึ้นเรื่อย ๆ
           คำ นิยามอย่างสั้นที่สุดที่จะแนะนำ ให้รู้จักกับ เศรษฐศาสตร์ มีดังนี้
           เศรษฐศาสตร์ คือ ศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับการเลือกหนทางในการใช้ทรัพยากรการผลิต
อันมีอยูจ่ ำ กัด สำ หรับการผลิตสินค้าและบริการเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
           จากคำ อธิบายข้างต้น มีคำ สำ คัญที่ควรอธิบายขยายความอยู่ 4 คำ คือ
                (1) การเลือก
                (2) ทรัพยากรการผลิต
                (3) การมีอยู่จำ กัด
                (4) สินค้าและบริการ
         เหตุที่ต้องมี “การเลือก” (choice) เพราะทรัพยากรต่าง ๆ สามารถนำ ไปใช้ประโยชน์ได้
หลายทาง ขณะเดียวกัน ความไม่สมดุลระหว่างความต้องการที่ไม่มีขีดจำ กัดของมนุษย์กับ
ทรัพยากรการผลิตที่มีอยู่จำ กัด ทำ ให้ความต้องการบางส่วนไม่สามารถจะบรรลุผลได้ เราจึงต้อง
เลือกหนทางในการใช้ทรัพยากรอันมีจำ กัดไปในทางที่จะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด หรือให้ความพอ
ใจมากที่สุด การเลือกดังกล่าวนี้เป็นพฤติกรรมเชิงเศรษฐกิจขั้นพื้นฐานที่ต้องเผชิญอยู่ทุกเมื่อ
เชื่อวัน นับตั้งแต่ระดับบุคคล กลุ่มบุคคล ไปจนถึงระดับประเทศชาติ ในระดับบุคคลหรือกลุ่ม
บุคคล รายได้ที่มีจำ กัดทำ ให้ไม่สามารถใช้จ่ายได้ตามใจชอบ เมื่อมีสินค้าที่อยากได้พร้อมกันหลาย
อย่าง บุคคลจึงต้องตัดสินใจเลือกซื้อเฉพาะสินค้าที่จะให้ประโยชน์สูงสุด ในระดับประเทศชาติ จำ
เป็นต้องตัดสินใจเลือกใช้ทรัพยากรที่มีจำ กัดไปในทางที่จะทำ ให้ประชาชนโดยส่วนรวมได้รับ
ประโยชน์สูงสุดเช่นกัน
           ดังนั้น “การเลือก” จึงเป็น “เงา” ของเศรษฐศาสตร์ สิ่งใดที่มีประเด็นเกี่ยวกับการเลือกใช้
ซึ่งทรัพยากรการผลิต สิ่งนั้นย่อมเกี่ยวข้องกับเศรษฐศาสตร์ โดยนัยตรงข้าม หากมีประกาสิต
กำหนดการใช้ทรัพยากรไว้ตายตัว เศรษฐศาสตร์ก็จะไม่มีบทบาทในเรื่องนั้น
           คำว่า “ทรัพยากรการผลิต” (productive resources) หมายถึง ทรัพยากรที่นำ มาผลิต
สินค้าและบริการ เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ปัจจัยการผลิต (factors of production) แบ่งเป็น 4 ประเภท
คือ ที่ดิน (land) แรงงาน (labor) ทุน (capital) และผู้ประกอบการ (entrepreneur)
        ก. ที่ดิน ได้แก่ที่ดินรวมทั้งทรัพยากรธรรมชาติต่าง ๆ เช่น ป่าไม้ แร่ธาตุ สัตว์นํ้า ความ
อุดมสมบูรณ์ของที่ดิน ปริมาณนํ้าฝนและสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติต่าง ๆ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้มีอยู่
ตามธรรมชาติ มนุษย์สร้างขึ้นไม่ได้ แต่สามารถปรับปรุงคุณภาพของทรัพยากรธรรมชาติได้บ้าง
เช่น ปรับปรุงที่ดินให้อุดมสมบูรณ์ขึ้น เป็นต้น ผลตอบแทนจากการใช้ที่ดินเรียกว่า ค่าเช่า (rent)
       ข. แรงงาน เป็นทรัพยากรมนุษย์ (human resource) ได้แก่ สติปัญญา ความรู้ ความ
คิด แรงกายและแรงใจที่มนุษย์ทุ่มเทให้แก่การผลิตสินค้าและบริการ โดยทั่วไปมีการแบ่งแรงงาน
เป็น 3 ประเภท คือ แรงงานฝีมือ เช่น นักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการ วิศวกร และแพทย์ เป็นต้น แรง
งานกึ่งฝีมือ เช่น ช่างไม้ ช่างเทคนิค พนักงานเสมียน คนคุมเครื่องจักรในโรงงาน เป็นต้น และแรง
งานไร้ฝีมือ เช่น กรรมกรแบกหาม นักการภารโรง คนยาม เป็นต้น ผลตอบแทนของแรงงานเรียก
ว่า ค่าจ้างและเงินเดือน (wage and salary) อนึ่ง แรงงานสัตว์ไม่ถือเป็นปัจจัยผลิตประเภทแรง
งาน แต่อนุโลมถือเป็นทุน
       ค. ทุน คือเครื่องจักรเครื่องมือที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อใช้ร่วมกับปัจจัยการผลิตอื่น ๆ ในการ
ผลิตสินค้าและบริการ ทุนหรือสินค้าทุน หรือสินทรัพย์ประเภททุน (capital goods) แบ่งเป็น 2
ประเภท คือ สิ่งก่อสร้าง (construction) และเครื่องจักรอุปกรณ์การผลิต (equipment)
การลงทุน (investment) หมายถึงการใช้จ่ายในการจัดหาเพิ่มพูนสินค้าทุน โดยมีวัตถุ
ประสงค์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตสินค้าและบริการทั้งในปัจจุบันและอนาคต
ส่วนเงินทุน (money capital) นั้น นักเศรษฐศาสตร์ถือว่าเป็นเพียงสื่อกลางที่นำ มาซึ่งสิน
ทรัพย์ประเภททุน สินทรัพย์ประเภททุนย่อมสะท้อนความเป็นจริงทางเศรษฐกิจยิ่งกว่าจำ นวนเงิน
ทุน เงินทุนจำ นวนเดียวกันใช้จัดหาสินค้าทุนได้มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ดังนั้น สินค้า
ทุนจึงมีความสำ คัญในเชิงเศรษฐกิจมากกว่าเงินทุน อนึ่ง เนื่องจากการวัดผลตอบแทนจากปัจจัย
ทุนโดยตรงมีความยุ่งยาก เราจึงอนุโลมให้ใช้ผลตอบแทนของเงินทุน อันได้แก่อัตราดอกเบี้ย
(interest) เป็นผลตอบแทนของปัจจัยทุนด้วย
       ง. ผู้ประกอบการ (entrepreneur) คือ ผูท้ ำ หน้าที่รวบรวมปัจจัยการผลิต 3 ประเภทที่
กล่าวมาข้างต้น เพื่อทำ การผลิตสินค้าและบริการ ค่าตอบแทนของผู้ประกอบการเรียกว่ากำไร
(profit) ในบรรดาปัจจัยการผลิตทั้ง 4 ประเภท ผู้ประกอบการนับเป็นปัจจัยการผลิตที่มีความ
สำ คัญมากที่สุด แม้ว่าจะมีปัจจัยการผลิต 3 ประเภทแรกมากมายก็ตาม การผลิตจะไม่อาจเกิด
ขึ้นหากขาดผู้ประกอบการ
               ในทางเศรษฐศาสตร์ต้นทุนการผลิต คือ ผลรวมค่าตอบแทนปัจจัยการผลิตทั้งหมด
               คำว่า “การมีอยู่จำ กัด” (scarcity) ให้คำ จำ กัดความได้ 2 แบบ (1) คำ จำ กัดความเชิง
สัมบูรณ์ (absolute definition) คือพิจารณาจากทรัพยากรการผลิตทั้งหมดที่มีอยู่ ซึ่งอาจมองได้
หลายระดับ หากมองในระดับโลก ทรัพยากรการผลิตทุกอย่างในโลกล้วนมีอยู่อย่างจำ กัด ไม่ว่า
จะเป็นกำ ลังแรงงาน ที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ และเครื่องจักรต่าง ๆ ทรัพยากรเหล่านี้ทั่วทั้งโลกมี
อยูเ่ ทา่ ไรก็เทา่ นั้น เพิ่มอีกไม่ได้ หากประเทศใดมีเพิ่มขึ้น โดยมากก็เป็นเพียงการเคลื่อนย้ายมา
จากประเทศอื่น ตัวอย่างเช่น การเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามประเทศ หรือการเคลื่อนย้ายปัจจัยการ
ผลิตอื่น ๆ ไปทำ การผลิตร่วมกับที่ดินของประเทศอื่น โดยการเช่าหรือซื้อที่ดินในต่างประเทศทำ
การผลิต หากมองในระดับประเทศ การมีอยู่จำ กัดปรากฏขึ้นเมื่อบุคคลหนึ่งครอบครอง
ทรัพยากรการผลิตมากขึ้น ก็จะมีทรัพยากรการผลิตเหลือน้อยลงสำ หรับคนอื่น ๆ ในสังคม (2) คำ
จำ กัดความเชิงสัมพัทธ์ (relative definition) เป็นการพิจารณาอุปทานของทรัพยากรการผลิตเมื่อ
เทียบกับอุปสงค์หรือความต้องการทางวัตถุอันไม่จำ กัด ฉะนั้น ไม่ว่าจะมีทรัพยากรการผลิต
มากเท่าใดก็ตาม เมื่อนำ ทรัพยากรเหล่านี้ไปใช้ในการผลิตสินค้าและบริการ ก็ยังไม่สามารถสนอง
ความต้องการอันไม่จำ กัดของมนุษย์ได้
          ความจำกัดนี้เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในทุกระดับสังคมและเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา และ
ในอนาคตการมีอยู่จำ กัดคงจะปรากฎชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อทรัพยากรส่วนหนึ่งถูกใช้หมดไป ส่วนที่
เหลือมีน้อยลง อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์นี้จะไม่เกิดขึ้น หากมีการค้นพบวิทยาการใหม่ ๆ ใน
ผลิตที่สามารถประหยัดทรัพยากรหรือสร้างทรัพยากรใหม่ทดแทนทรัพยากรเดิมที่หมดไป
            ได้กล่าวพาดพิงในข้อความข้างต้นว่า “ความต้องการทางวัตถุอันไม่จำ กัด” (unlimited
wants in materials) ในทางศาสนาพุทธมีคำ เรียกมนุษย์ว่า “ปุถุชน” ซึ่งหมายถึงคนที่มีความโลภ
โกรธ หลง คำ ว่า “โลภ” นี้อาจอนุโลมให้มีความหมายใกล้เคียงกับคำ ว่า “มีความต้องการไม่จำกัด”
กล่าวคือ เมื่อได้มาอย่างหนึ่งก็อยากได้อย่างอื่น เป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด หากไปถาม
คนยากจนว่าในชีวิตปรารถนาอะไร คำ ตอบมักจะเป็นว่าขอให้มีอาหารรับประทานครบ 3 มื้อ หรือ
มีปัจจัย 4 ครบถ้วน หากถามคำ ถามเดียวกันกับผู้มีรายได้ปานกลาง คำ ตอบมักเป็นว่านอกจากมี
ปัจจัย 4 ครบถ้วนแล้วยังต้องมีคุณภาพที่ดี เช่น อาหารต้องอร่อยถูกปาก เสื้อผ้าต้องตามสมัย
นิยม ในบ้านขอมีเครื่องปรับอากาศ มีตู้เย็น โทรทัศน์สี เป็นต้น และหากถามมหาเศรษฐีว่า
ปรารถนาอะไรในชีวิต คำ ตอบก็คงจะเป็นว่าอยากอยู่ในตำ แหน่งคนรวยที่สุด หรืออยากมีชื่อเสียง
เกียรติยศโด่งดังนอกเหนือจากวัตถุสมบัติที่มีมากมายอยู่แล้ว กล่าวโดยสรุป สำ หรับมนุษย์ปุถุชน
มักจะไม่มีคำ ตอบว่าพอแล้ว หยุดแล้ว ไม่ปรารถนาอะไรทั้งสิ้นแล้ว
            คำว่า “สินค้าและบริการ” (goods and services) คือสิ่งที่ได้จากการทำ งานร่วมกันของ
ปัจจัยการผลิตต่าง ๆ เป็นสิ่งที่มีอรรถประโยชน์ (utility) มากกว่าศูนย์ แบ่งเป็น 2 ประเภท (1) สิน
ค้าและบริการขั้นกลาง (intermediate goods and services) เป็นสินค้าที่มีการซื้อขายเพื่อนำ ไป
ใช้เป็นปัจจัยการผลิต เช่น อาหารสัตว์ วัสดุก่อสร้าง รถบรรทุกสิบล้อ เป็นต้น และ (2) สินค้า
และบริการขั้นสุดท้าย (final goods and services) เป็นสินค้าที่มีการซื้อขายเพื่อนำ ไปใช้อุปโภค
และบริโภค ตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์เหล็ก โรงงานถลุงเหล็กนำ สินแร่เหล็กมาถลุงและทำ เป็นแท่ง
เหล็ก จากนั้นรีดเป็นแผ่นเหล็ก ใช้แผ่นเหล็กขึ้นรูปเป็นตัวถังรถ โรงงานประกอบรถยนต์ใส่ชิ้น
ส่วนต่าง ๆ เข้ากับตัวถังรถ สำ เร็จออกมาเป็นรถยนต์ จะเห็นว่าแท่งเหล็ก แผ่นเหล็ก โครงตัวถังรถ
เป็นสินค้าขั้นกลาง ส่วนรถยนต์อาจถือเป็นสินค้าขั้นกลางถ้าหน่วยผลิตซื้อไปใช้งาน และถือเป็น
สินค้าขั้นสุดท้ายถ้าครัวเรือนซื้อไปใช้ จะเห็นได้ว่าสินค้าหรือบริการอย่างเดียวกันอาจเป็นได้ทั้งสิน
ค้าขั้นกลางและสินค้าขั้นสุดท้าย ทั้งนี้พิจารณาจากวัตถุประสงค์ในการนำ ไปใช้ประโยชน์เป็น
สำ คัญ
                 ในการศึกษาเศรษฐศาสตร์ ได้แบ่งสินค้าออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ เศรษฐทรัพย์
(economic goods) และสินค้าไร้ราคา (free goods) เศรษฐศาสตร์ศึกษาเฉพาะสินค้าที่เป็น
เศรษฐทรัพย์เท่านั้น
                     ก. เศรษฐทรัพย์ คือสินค้าที่มีต้นทุน ดังนั้นจึงมีราคามากกว่าศูนย์ โดยปกติ
ผู้บริโภคจะเป็นผู้จ่ายค่าสินค้าโดยตรง แต่ในบางกรณี ผู้บริโภคกับผู้จ่ายค่าสินค้าอาจจะเป็น
คนละคน ซึ่งได้แก่ เศรษฐทรัพย์ที่ได้จาการบริจาค หรือจากการให้โดยเสน่หา หรือจากบริการสวัส
ดิการของรัฐ ซึ่งเป็นเศรษฐทรัพย์ที่ได้เปล่า จึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “สินค้าให้เปล่า” (ซึ่งไม่ใช่สินค้าไร้
ราคา)
                     ข. สินค้าไร้ราคา หมายถึงสินค้าและบริการที่ไม่มีต้นทุน จึงไม่มีราคาที่ต้องจ่าย ตัวอย่าง
ของสินค้าไร้ราคา ได้แก่ สายลม แสงแดด นํ้าฝน อากาศในบรรยากาศ นํ้าทะเล และนํ้าในแม่นํ้า
ลำ คลอง

 ที่มา http://forum.02dual.com/index.php?topic=991.0

มีไหมซักนาที





ยินดีต้อนรับเข้าสู่ Bloggerของสายใหม  บุบพิ Blog นี้สร้างขึ้นเพื่อใช้ในรายวิชา อินเตอร์เน็ตเพื่อการสื่อสารในชีวิตประจำวัน ค่ะ