จำนวนการดูหน้าเว็บรวม
วันศุกร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2555
<iframe width="853" height="480" src="http://www.youtube.com/embed/mLkiYlTDBsE" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
ที่มาhttp://www.youtube.com
ที่มาhttp://www.youtube.com
แนวทางการแก้ไขปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจ
ไม่ว่าจะเป็นระบบเศรษฐกิจแบบใดต่างก็ประสบกับปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจดังกล่าวทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม ระบบเศรษฐกิจแต่ละระบบต่างก็มีวิธีการแก้ไขปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกันไปดังนี้
- ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมหรือเสรีนิยม (capitalism) จะใช้กลไกตลาด (ราคา) หรือที่มักเรียกว่า มือที่มองไม่เห็น เป็นเครื่องมือหรือกลไกในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว กล่าวคือ ราคา จะเป็นตัวช่วยตอบปัญหาต่างๆตั้งแต่เริ่มผลิตอะไร อย่างไร และเพื่อใคร ปกติสินค้าและบริการใดที่เป็นที่ต้องการผู้บริโภคก็จะเสนอราคาซื้อสูง นั่นคือ ราคาจะเป็นตัวสะท้อนที่ทำให้ผู้ผลิตทราบความต้องการของผู้บริโภค ทำให้ผู้ผลิตสามารถผลิตสินค้าและบริการตรงกับความต้องการของผู้บริโภค ปัญหาที่ว่า ผลิตอย่างไร ซึ่งเป็นปัญหาในเรื่องของเทคนิคการผลิตว่าจะผลิตโดยเน้นใช้ปัจจัยแรงงานหรือปัจจัยทุน ก็ขึ้นอยู่กับราคาโดยเปรียบเทียบของปัจจัยแต่ละประเภท โดยมีหลักว่าผู้ผลิตจะเลือกผลิต หรือใช้ปัจจัยการผลิตในประเภทที่ทำให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยต่ำสุด ซึ่งราคาก็เป็นเครื่องชี้อีกเช่นเดียวกัน สำหรับปัญหา ผลิตเพื่อใคร กล่าวคือ ใครควรจะได้รับการจัดสรรสินค้าและบริการไปอุปโภคบริโภคมากหรือน้อยเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับใครมีอำนาจซื้อและเสนอราคาให้มากกว่า ผู้ผลิตหรือผู้ขายก็จะเสนอขายสินค้าและบริการนั้นไปให้ บุคคลนั้นก็จะได้รับสินค้าและบริการไปอุปโภคบริโภคตอบสนองความต้องการของตน โดยสรุป ภายใต้ระบบเศรษฐกิจนี้ราคาจะเป็นเครื่องมือหรือกลไกที่สำคัญในการช่วยแก้ไขปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจ
- ระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์ แนวทางการแก้ไขปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจจะถูกกำหนดมาจากส่วนกลางหรือรัฐบาล กล่าวคือ รัฐบาลจะเป็นผู้วางแผนดำเนินการสั่งการแต่เพียง ผู้เดียว เอกชนมีหน้าที่ปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐ รัฐจะเป็นผู้กำหนดว่าจะผลิตอะไร จำนวนเท่าใด อย่างไร และจำหน่ายจ่ายแจกหรือกระจายสินค้าและบริการไปให้กับใคร
- ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม เนื่องจากระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมเป็นระบบ เศรษฐกิจที่มีลักษณะใกล้เคียงกับระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์ ดังนั้น แนวทางการแก้ไขปัญหาพื้นฐานของระบบเศรษฐกิจนี้จึงใช้กลไกรัฐเป็นกลไกสำคัญในการจัดสรรทรัพยากรทางเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์ อย่างไรก็ตาม มีการใช้กลไกราคาอยู่บ้าง แต่ยังมีบทบาทค่อนข้างจำกัด
- ระบบเศรษฐกิจแบบผสม แนวทางการแก้ไขปัญหาจะใช้ทั้งกลไกราคาและกลไกรัฐร่วมกันไป กล่าวคือ กิจการที่เป็นกิจการที่มีความสำคัญต่อประชาชนโดยส่วนรวม เช่น กิจการสาธารณูปโภค สาธารณูปการ รัฐจะเป็นผู้ดำเนินการเพื่อให้บริการกับประชาชนเอง (กลไกรัฐ) แต่กิจการโดยทั่วไปจะปล่อยให้เป็นไปตามระบบของกลไกตลาด (ราคา)
ที่มา http://blog.eduzones.com
ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจ
เนื่องจากความต้องการของมนุษย์โดยทั่วไปมีอยู่ไม่จำกัด (unlimited wants) แต่ทรัพยากร ของโลกมีอยู่อย่างจำกัด (limited resources) หรือเป็นของหายากและใช้หมด (scarce) จึงเกิดปัญหาว่าจะทำอย่างไรจึงจะจัดสรรหรือใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดนั้นไปในการผลิตสินค้าและบริการเพื่อบำบัดความต้องการของมนุษย์ให้ได้มากที่สุดและเกิดประโยชน์สูงสุด ปัญหานี้ก็คือปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจซึ่งทุกๆประเทศในโลกไม่ว่าจะมีระบบเศรษฐกิจแบบใดก็ตามต่างต้องประสบกับปัญหาดังกล่าวทั้งสิ้น ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 3 ปัญหา คือ
- ผลิตอะไร (what to produce) เนื่องจากทรัพยากรทางเศรษฐกิจของโลกมีจำกัดและไม่สามารถตอบสนองความต้องการทั้งหมดของมนุษย์ได้ จึงจำเป็นต้องมีการเลือกว่าจะผลิตสินค้าและบริการอะไรบ้าง ผลิตในจำนวนเท่าใด ลำดับของการผลิตควรเป็นอย่างไร อะไรควรผลิตก่อน อะไรควรผลิตหลัง เนื่องจากทรัพยากรมีจำกัด ไม่พอเพียงกับความต้องการ เราจึงควรเลือกผลิตสินค้า และบริการซึ่งเป็นที่ต้องการและมีความจำเป็นมากที่สุดก่อนเป็นลำดับแรก และผลิตตามความต้องการ ลดหลั่นลงมาเรื่อยๆ ทั้งนี้ เพื่อให้สินค้าและบริการที่ผลิตขึ้นมาได้นั้นสามารถนำไปใช้ตอบสนองความ ต้องการของมนุษย์ให้ได้มากที่สุด เพราะถ้าไม่ผลิตตามความต้องการแล้วสินค้าและบริการที่ผลิตขึ้นมา ได้ก็จะเกิดการสูญเปล่าเนื่องจากไม่ได้ถูกนำไปใช้ ถือเป็นการสูญเสียทรัพยากรไปโดยเปล่าประโยชน์
- ผลิตอย่างไร (how to produce) เมื่อทราบแล้วว่าจะผลิตอะไร จำนวนเท่าใด ปัญหาต่อมาก็คือจะเลือกใช้เทคนิคการผลิตอย่างไรจึงจะทำให้การผลิตสินค้าและบริการนั้นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ กล่าวคือ มีต้นทุนการผลิตต่อหน่วยต่ำที่สุด โดยให้ได้ผลผลิตตามที่ต้องการ
คำว่า ประสิทธิภาพ (ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยต่ำที่สุด) หมายถึง
- ผลิตสินค้าและบริการให้ได้จำนวนหน่วยของผลผลิตตามที่ต้องการ โดยใช้ทรัพยากร หรือปัจจัยการผลิตให้น้อยที่สุด
- ผลิตสินค้าและบริการให้ได้จำนวนหน่วยของผลผลิตมากที่สุด ภายใต้ต้นทุนการผลิต จำนวนหนึ่ง ซึ่งถ้าเป็นไปในลักษณะใดลักษณะหนึ่งดังกล่าวจะถือว่าเป็นการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
- ผลิตเพื่อใคร (for whom to produce) ปัญหาสุดท้ายคือ สินค้าและบริการที่ผลิตขึ้น มาได้แล้วนั้นจะจำหน่ายจ่ายแจกหรือกระจายไปยังบุคคลต่างๆในสังคมอย่างไร (ให้แก่ใคร จำนวนเท่าใด) จึงจะเหมาะสมและเกิดความยุติธรรม เพื่อแต่ละบุคคลจะได้ประโยชน์สูงสุดจากสินค้าและบริการนั้น
ที่มา http://blog.eduzones.com
ความสัมพันธ์ของวิชาเศรษฐศาสตร์กับศาสตร์อื่นๆ
เศรษฐศาสตร์เป็นวิชาที่ศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ในด้านต่างๆ เช่น การเลือกการผลิต การบริโภค การดำรงชีพ และการปฏิบัติต่อบุคคลต่างๆที่อยู่ในสังคมเดียวกันหรือต่างกัน ดังนั้นเศรษฐศาสตร์จึงเป็นวิชาหนึ่งของสังคมศาสตร์ ซึ่งเป็นการศึกษาปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในหมู่มนุษย์ที่มี ผลมาจากการอยู่รวมกันในสังคมและมีการดำเนินกิจกรรมต่างๆร่วมกัน ซึ่งในการศึกษาและการแก้ไข ปัญหาต่างๆ ตลอดจนการจัดระเบียบวิธีที่เกี่ยวกับมนุษย์จำเป็นที่วิชาเศรษฐศาสตร์ต้องไปเกี่ยวข้องหรือสัมพันธ์กับวิชาอื่นๆในสังคมศาสตร์ เช่น การบริหารธุรกิจ รัฐศาสตร์ จิตวิทยา ประวัติศาสตร์ นิติศาสตร์ และอื่นๆ
- เศรษฐศาสตร์กับการบริหารธุรกิจ มีความสัมพันธ์กัน กล่าวคือ ในการศึกษาเศรษฐศาสตร์นั้นส่วนหนึ่งจะเป็นการศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้ผลิต เช่น การศึกษาทฤษฎีการผลิต ต้นทุนการผลิตและตลาด ฯลฯ จะเห็นได้ว่าแต่ละหัวข้อจะมีความเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจในการดำเนินธุรกิจ ดังนั้นกล่าวได้ว่าการบริหารธุรกิจส่วนหนึ่งเป็นการนำความรู้ทางเศรษฐศาสตร์มาประยุกต์ เพื่อให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นั่นคือ ให้ได้รับกำไรสูงสุดและธุรกิจเจริญเติบโตก้าวหน้า
- เศรษฐศาสตร์กับรัฐศาสตร์ มีความสัมพันธ์กันในแง่ที่ว่าแต่ละประเทศจะไม่สามารถพัฒนาเศรษฐกิจให้เจริญรุ่งเรืองได้หากประเทศไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง เนื่องจากนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศไม่มีความมั่นใจจึงชะลอการลงทุน ทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย ในทางกลับกัน หากนักลงทุนมีความมั่นใจในสถานการณ์ทางการเมือง การลงทุนจะเพิ่มขึ้น ทำให้เศรษฐกิจเจริญเติบโต ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าปัญหาการเมืองกับปัญหาเศรษฐกิจเป็นปัญหาควบคู่กันไม่สามารถแยกจากกันได้ กล่าวคือ จะต้องพัฒนาไปพร้อมๆกันประเทศจึงจะมีการพัฒนาอย่างมั่นคงและมีเสถียรภาพ
- เศรษฐศาสตร์กับนิติศาสตร์ มีความสัมพันธ์กันในลักษณะที่กฎหมายเป็นกฎเกณฑ์ที่ใช้ควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ในสังคม และส่วนหนึ่งจะต้องเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมทางเศรษฐกิจ ดังนั้นหากนักกฎหมายมีความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ย่อมจะเป็นผลดีต่อการตราหรือออกใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจของประเทศ ในทำนองเดียวกัน เนื่องจากกฎหมายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้นนักเศรษฐศาสตร์เองจำเป็นจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับกฎหมายด้วย ทั้งนี้ เพื่อการใช้กฎหมายในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจจะได้เป็นไปตามที่มุ่งหวัง
- เศรษฐศาสตร์กับประวัติศาสตร์ วิชาประวัติศาสตร์เป็นการศึกษาเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีต ซึ่งส่วนหนึ่งสามารถใช้เป็นบทเรียนหรือเป็นแนวทางในการวางแผนพัฒนาและแก้ปัญหาเศรษฐกิจ อย่างน้อยที่สุดประวัติศาสตร์จะเป็นกระจกที่สะท้อนให้เห็นถึงลำดับของเหตุการณ์ในอดีตที่ เกิดขึ้น ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์จึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญต่อทุกสาขาวิชา รวมทั้งวิชาเศรษฐศาสตร์ด้วย ดังจะเห็นได้จากปัจจุบันได้มีการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของการเรียนการสอนทางด้านเศรษฐศาสตร์ในระดับมหาวิทยาลัย
- เศรษฐศาสตร์กับจิตวิทยา เนื่องจากวิชาเศรษฐศาสตร์เป็นเรื่องที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ ดังนั้นความรู้ในด้านจิตวิทยาจึงมีส่วนสำคัญต่อการเรียนรู้ทางเศรษฐศาสตร์ เพราะต่างก็ศึกษาเรื่องเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ เช่น การจะอธิบายปรากฏการณ์บางอย่างที่เกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ เช่น การเลือกบริโภคสินค้าของผู้ซื้อ ถ้ามีความรู้เกี่ยวกับจิตวิทยาของมนุษย์ย่อมช่วยให้เข้าใจการกระทำบางอย่างของมนุษย์ได้ ในเวลาเดียวกัน นักจิตวิทยาอาจนำความรู้ทางเศรษฐศาสตร์มาอธิบายพฤติกรรมของมนุษย์ได้
- เศรษฐศาสตร์กับคณิตศาสตร์และสถิติ สาขาหนึ่งของวิชาเศรษฐศาสตร์ที่ศึกษากันอยู่ในปัจจุบันคือการศึกษาเศรษฐศาสตร์เชิงปริมาณ ซึ่งเป็นวิชาที่ต้องอาศัยคณิตศาสตร์และสถิติเป็นเครื่องมือในการศึกษาวิเคราะห์เพื่อหาความสัมพันธ์ของตัวแปรทางเศรษฐกิจต่างๆหรือเพื่ออธิบาย ความสัมพันธ์ของตัวแปรทางเศรษฐกิจเหล่านั้น
เศรษฐศาสตร์จุลภาคและเศรษฐศาสตร์มหภาค
ปัจจุบันนักเศรษฐศาสตร์แยกการศึกษาเศรษฐศาสตร์ออกเป็น 2 สาขาใหญ่ๆ คือ
- เศรษฐศาสตร์จุลภาค (microeconomics) เป็นการศึกษาพฤติกรรมทางเศรษฐกิจของหน่วยเศรษฐกิจใดหน่วยเศรษฐกิจหนึ่ง เช่น การศึกษาพฤติกรรมการบริโภคของผู้บริโภครายใดรายหนึ่งว่าจะมีการตัดสินใจในการเลือกบริโภคสินค้าและบริการอย่างไร จำนวนเท่าใด เพื่อให้บรรลุเป้าหมายความพอใจสูงสุดภายใต้ขีดจำกัดของรายได้จำนวนหนึ่ง พฤติกรรมของผู้ผลิตหรือผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งว่าจะตัดสินใจเลือกผลิตสินค้าอะไร จำนวนเท่าใด ด้วย วิธีการอย่างไร และจะกำหนดราคาเท่าไร จึงจะได้กำไรสูงสุด ศึกษาพฤติกรรมการลงทุน การออมของ บุคคลใดบุคคลหนึ่ง ศึกษากลไกตลาดและการใช้ระบบราคาเพื่อการจัดสรรสินค้า บริการ และทรัพยากร อื่นๆ จะเห็นได้ว่าเศรษฐศาสตร์จุลภาคส่วนใหญ่จะเป็นการศึกษาเรื่องที่เกี่ยวกับราคาในตลาดแบบต่างๆ นักเศรษฐศาสตร์บางท่านจึงเรียกวิชาเศรษฐศาสตร์อีกชื่อหนึ่งว่า ทฤษฎีราคา (Price Theory)
- เศรษฐศาสตร์มหภาค (macroeconomics) เป็นการศึกษาภาวะเศรษฐกิจโดยส่วนรวม ทั้งระบบเศรษฐกิจหรือทั้งประเทศ อันได้แก่ การผลิตของระบบเศรษฐกิจ การบริโภค การออม และการลงทุนรวมของประชาชน การจ้างงาน ภาวะการเงินและการคลังของประเทศ ฯลฯ เศรษฐศาสตร์มหภาคโดยทั่วไปจะครอบคลุมหัวข้อต่างๆ เช่น รายได้ประชาชาติ วัฏจักรเศรษฐกิจ เงินเฟ้อและระดับราคา การคลังและหนี้สาธารณะ เศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ การเงินและสถาบันการเงิน และเศรษฐศาสตร์การพัฒนา ฯลฯ
ประโยชน์ของวิชาเศรษฐศาสตร์
ก่อนที่จะกล่าวถึงประโยชน์ของวิชาเศรษฐศาสตร์ คำถามหนึ่งที่น่าสนใจคือ ทำไมเราจึงต้องศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์ จากความหมายของวิชาเศรษฐศาสตร์ดังกล่าวมาแล้ว จะเห็นได้ว่าประเทศต่างๆในโลกต่างต้องประสบกับปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจร่วมกัน อันเนื่องมาจากความไม่สมดุลระหว่างปริมาณของทรัพยากรทางเศรษฐกิจที่มีอยู่อย่างจำกัดกับความต้องการของมนุษย์ที่มีไม่จำกัด ทำให้จำเป็นต้องมีการศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์เพื่อหาวิธีการที่ดีที่สุดที่จะนำมาใช้จัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดไปในการผลิตสินค้าและบริการเพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์ที่มีไม่จำกัดให้เกิด ประสิทธิภาพสูงสุด อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าเฉพาะแต่ผู้เรียนทางด้านเศรษฐศาสตร์เท่านั้นที่จำเป็นต้อง ศึกษาวิชาการนี้ ผู้เรียนในสาขาอื่นๆรวมทั้งประชาชนทั่วไปก็ควรมีความรู้พื้นฐานทางด้านเศรษฐศาสตร์ด้วย เพื่อจะได้มีความเข้าใจในปัญหาเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นในระดับส่วนตัว ครอบครัว หรือระดับของประเทศ ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าปัญหาด้านเศรษฐกิจเป็นปัญหาที่ทุกๆคนไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เนื่องจากเป็นปัญหาในชีวิตประจำวันของแต่ละบุคคล ดังนั้นการมีความรู้พื้นฐาน ทางด้านเศรษฐศาสตร์จะเป็นประโยชน์ต่อตัวของบุคคลนั้นทั้งทางตรงและทางอ้อม
ผู้ศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์สามารถนำเอาความรู้ที่ได้รับมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในด้านต่างๆ มากมายดังนี้
ผู้ศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์สามารถนำเอาความรู้ที่ได้รับมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในด้านต่างๆ มากมายดังนี้
- ในฐานะผู้บริโภค ทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกบริโภคสินค้าและบริการที่ทำให้ตนได้รับความพอใจสูงสุดภายใต้ระดับรายได้ที่มีอยู่ เป็นการใช้ทรัพยากรอย่างประหยัด คุ้มค่า และเกิดประโยชน์มากที่สุด นอกจากนี้ ยังทำให้ผู้บริโภคมีความเข้าใจในการเปลี่ยนแปลงของปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น และสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์นั้นๆได้เป็นอย่างดี เช่น สามารถคาดคะเนการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการได้อย่างถูกต้องและมีเหตุมีผล กำหนดแผนการบริโภค การออม และการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจในชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม เป็นต้น
- ในฐานะผู้ผลิต ทำให้ผู้ผลิตตัดสินใจเลือกใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดไปในการผลิต สินค้าและบริการอย่างคุ้มค่า ประหยัด ช่วยลดต้นทุนการผลิต ทำให้ธุรกิจได้รับกำไรเพิ่มขึ้น และใน ทำนองเดียวกับผู้บริโภคคือทำให้ผู้ผลิตมีความเข้าใจในปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น เช่น เข้าใจ ในความเป็นไปของปรากฏการณ์ของวัฏจักรเศรษฐกิจว่าโดยปกติเศรษฐกิจจะมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นๆ ลงๆอย่างนี้เรื่อยไป ทำให้ผู้ผลิตสามารถตัดสินใจเลือกลงทุนในการดำเนินธุรกิจเหมาะสมกับสถานการณ์ ในขณะนั้นๆ เป็นต้น
- ในฐานะรัฐบาล การที่รัฐบาลมีความรู้ทางเศรษฐศาสตร์จะทำให้เข้าใจลักษณะและโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศ สามารถวิเคราะห์ถึงสาเหตุของปัญหาทางเศรษฐกิจและหาแนวทาง แก้ไข โดยกำหนดออกมาเป็นแผนและนโยบายทางเศรษฐกิจที่จะนำไปใช้แก้ปัญหาให้เกิดประสิทธิภาพ และประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศ
ที่มา http://blog.eduzones.com
ความเป็นมาของวิชาเศษฐศาสตร์ในประเทศไทย
ตามหลักฐานในหลักศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงมหาราชตอนหนึ่ง กล่าวไว้ว่า เมืองสุโขทัยนี้ดีในน้ำมีปลาในนามีข้าว เจ้าเมืองบ่เอากอบในไพร่ลู่ทาง เพื่อนจูงวัวไปค้าขี่ม้าไปขาย ใครจักใคร่ค้าช้างค้า ใครจักใคร่ค้าม้าค้า ใครจักใคร่ค้าเงินค้าทองค้า…… ซึ่งสรุปได้ความว่า เมืองสุโขทัยในสมัยพระเจ้ารามคำแหงมหาราชนั้นมีความอุดมสมบูรณ์ ในแม่น้ำ ลำคลองก็มีปลา ในท้องทุ่งนาก็มีข้าวเขียวชอุ่ม ประชาชนทำการค้าโดยเสรีและไม่มีการเก็บภาษีอากรด้วย นอกจากนี้ยังทำการค้ากับประเทศจีน ต่อมาในสมัยอยุธยาและสมัย รัตนโกสินทร์ตอนต้น ประเทศไทยได้มีการค้ากับต่างประเทศ ได้เริ่มรับเอาวิทยาการทางเศรษฐศาสตร์เข้ามาจากต่างประเทศ เกี่ยวกับการคลัง การเงินและการธนาคาร ตลาดจน การค้า แต่ยังมิได้รวบรวมไว้เป็นหลักเกณฑ์ที่ถูกต้องแน่นอน จนกระทั่ง พ.ศ. 2454 พระยาสุริยานุวัตรได้พิมพ์หนังสือเศรษฐศาสตร์เล่มแรกของไทยขึ้นชื่อ “ทรัพยศาสตร์” แต่ได้ถูกรัฐบาลสมัยนั้นขอร้องมิให้นำออกเผยแพร่ จนกระทั่งในสมัยหลังการเปลี่ยนแปลง การปกครองจึงได้นำออกมาพิมพ์ขึ้นใหม่ มีชื่อว่า “เศรษฐศาสตร์วิทยาภาคต้น เล่ม 1” มีเนื้อหาสาระว่าด้วย การสร้างทรัพย์ การแบ่งปันทรัพย์หรือการกระจายรายได้
ในปี พ.ศ.2459 กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ (น.ม.ส.) ได้พิมพ์หนังสือ “ตลาดเงินตรา” (Money Market) แต่การศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์ในสมัยนั้นยังไม่จริงจังและแพร่หลาย จนกระทั่งได้มีการก่อตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมืองขึ้น เมื่อ พ.ศ. 2477 การศึกษาวิชานี้จึงเริ่มแพร่หลาย มีผู้แปลหนังสือ “The Principle of Political Economy” ของศาสตราจารย์ ชาร์ล จีด (Charle Gide) เป็นภาษาไทยและได้พิมพ์ออกจำหน่ายในกลางปี พ.ศ. 2479 ในระยะเวลาเดียวกันคุณพระสารสาส์นพลขันธ์ ได้เขียนตำราเศรษฐศาสตร์ขึ้น 2 เล่ม คือ เศรษฐศาสตร์ว่าด้วยกิจการค้า และ เศรษฐศาสตร์ว่าด้วยการเงิน ซึ่งได้จัดพิมพ์ขึ้นในปี พ.ศ. 2480 และ 2481 ตามลำดับโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะกระตุ้นให้ประชากรไทยตื่นตัวในการทำการค้า
การศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์ได้หยุดชะงักไปชั่วคราวเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง โดยภายหลังสงครามโลกสงบลง ในวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2492 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และการเมืองได้จัดการศึกษาออกเป็น 4 คณะ ได้แก่ คณะนิติศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์ และคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี นับจากนั้นมาการศึกษาเศรษฐศาสตร์ ได้แพร่หลายและพัฒนาก้าวหน้าไปอย่างมาก ในสมัยของศาสตราจารย์ ป๋วย อึ้งภากรณ์ ผู้มีส่วนสำคัญในการปฏิรูปการสอน และการศึกษา วิชาเศรษฐศาสตร์ในประเทศไทย ปัจจุบันจึงได้มีการศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์กันอย่างแพร่หลาย ในสถาบันการศึกษาต่างๆ ทั้งในระดับปริญญาตรี ระดับปริญญาโท และระดับปริญญาเอก รวมทั้งได้ขยายออกไปสู่ระดับต่ำกว่าปริญญาตรีด้วย
ในปี พ.ศ.2459 กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ (น.ม.ส.) ได้พิมพ์หนังสือ “ตลาดเงินตรา” (Money Market) แต่การศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์ในสมัยนั้นยังไม่จริงจังและแพร่หลาย จนกระทั่งได้มีการก่อตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมืองขึ้น เมื่อ พ.ศ. 2477 การศึกษาวิชานี้จึงเริ่มแพร่หลาย มีผู้แปลหนังสือ “The Principle of Political Economy” ของศาสตราจารย์ ชาร์ล จีด (Charle Gide) เป็นภาษาไทยและได้พิมพ์ออกจำหน่ายในกลางปี พ.ศ. 2479 ในระยะเวลาเดียวกันคุณพระสารสาส์นพลขันธ์ ได้เขียนตำราเศรษฐศาสตร์ขึ้น 2 เล่ม คือ เศรษฐศาสตร์ว่าด้วยกิจการค้า และ เศรษฐศาสตร์ว่าด้วยการเงิน ซึ่งได้จัดพิมพ์ขึ้นในปี พ.ศ. 2480 และ 2481 ตามลำดับโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะกระตุ้นให้ประชากรไทยตื่นตัวในการทำการค้า
การศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์ได้หยุดชะงักไปชั่วคราวเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง โดยภายหลังสงครามโลกสงบลง ในวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2492 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และการเมืองได้จัดการศึกษาออกเป็น 4 คณะ ได้แก่ คณะนิติศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์ และคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี นับจากนั้นมาการศึกษาเศรษฐศาสตร์ ได้แพร่หลายและพัฒนาก้าวหน้าไปอย่างมาก ในสมัยของศาสตราจารย์ ป๋วย อึ้งภากรณ์ ผู้มีส่วนสำคัญในการปฏิรูปการสอน และการศึกษา วิชาเศรษฐศาสตร์ในประเทศไทย ปัจจุบันจึงได้มีการศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์กันอย่างแพร่หลาย ในสถาบันการศึกษาต่างๆ ทั้งในระดับปริญญาตรี ระดับปริญญาโท และระดับปริญญาเอก รวมทั้งได้ขยายออกไปสู่ระดับต่ำกว่าปริญญาตรีด้วย
ความเป็นมาของวิชาเศรษฐศาสตร์โลก
ถ้าจะกล่าวถึงคำว่าวิชาเศรษฐศาสตร์ในปัจจุบันนี้คงจะไม่มีใครที่บอกว่าไม่เคยได้ยินคำว่าวิชาเศรษฐศาสตร์ แต่ถ้าจะถามกลับไปว่าแล้วเศรษฐศาสตร์นั้นมีประวัติความเป็นมาอย่างไร คำถามนี้ถ้าหากไม่ใช่ผู้ที่สนใจจริงๆ แล้วก็อาจจะตอบไม่ได้ ซึ่งวิชาเศรษฐศาสตร์เมื่อเปรียบเทียบกับ วิชา รัฐศาสตร์ หรือปรัชญา นั้นจัดได้ว่าเป็นวิชาที่ค่อนข้างใหม่ ซึ่งผู้ที่ถูกจัดให้เป็นบิดาของวิชานี้ก็คือ อดัม สมิธ (Adam Smithค.ศ.1723-1790) โดยท่านผู้นี้ได้แต่ตำราทางด้านเศรษฐศาสร์ที่จัดได้ว่าเป็นตำราทางเศรษฐศาสตร์ฉบับแรกของโลก ตำรานี้มีชื่อว่า "An Inquiry into the Nature and Causes of the Wealth of Nations" ซึ่งมีเนื้อหาในบางตอนกล่าวถึงในเรื่องของการพัฒนาเศรษฐกิจ ในเรื่องของมูลค่า (Value) ในทางเศรษฐทรัพย์ต่างๆ การค้าระหว่างประเทศ การคลังสาธารณะ รวมไปถึงการเก็บภาษีอากร
คำว่าเศรษฐศาสตร์นั้นเป็นคำมาจากภาษากรีก 2 คำคือ Oikos ซึ่งแปลว่าบ้าน หรือครอบครัว และคำว่าNomos ซึ่งแปลว่ากฎระเบียบ ดังนั้นคำว่าเศรษฐศาสตร์ในความหมายแบบดั้งเดิมจึงแปลว่าการจัดระเบียบในบ้าน หรือครอบครัว แต่ในนิยามที่เรามักจะใช้กันอยู่ทั่วไปคือคำว่าเศรษฐศาสตร์ (Economics) มีความหมายว่า เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับทรัพยากรทั่วไปที่มนุษย์นำมาใช้ในการบริโภค (Consumption) โดยเป็นการนำเอาทรัพยากรที่มีอยู่ทั่วไปมาใช้ในการบริโภค ซึ่งในปัจจุบันทรัพยากรที่มีอยู่นั้นนับวันจะลดลงเรื่อยๆ จึงทำให้มีการพัฒนาวิธีการจัดการ หรือจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้เพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์ที่มีอยู่อย่างไม่จำกัดให้ได้มากที่สุด โดยสรุปแล้วนั้นก็ยังคงไม่มีผู้ใดที่สามารถให้ความหมายของคำว่าเศรษฐศาสตร์ได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งคำว่าเศรษฐศาสตร์ดังที่กล่าวมาข้างต้นแล้วนั้นจะมีความหมายที่แตกต่างจากคำว่าเศรษฐกิจ เพราะเศรษฐศาสตร์นั้นมีความหมายถึงการจัดสรรทรัพยากร แต่คำว่าเศรษฐกิจ(Economy)นั้นหมายถึงการจัดการครอบครัว หรือการดำรงชีพของประชาชนในชุมชน และสังคมนั้นๆ
ความเป็นมาของเศรษฐศาสตร์
ความหมายของเศรษฐศาสตร์
เศรษฐศาสตร์หมายถึงวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับการจัดสรรทรัพยากรที่มี อยู่อย่างจำกัด เพื่อตอบสนองความต้องการต่างๆ ของมนุษย์ที่มีอยู่อย่างไม่จำกัด
ที่มาของเศรษฐศาสตร์
1. บิดาแห่งวิชาเศรษฐศาสตร์ คือ อาดัม สมิธ (Adam Smith) ชาวสก๊อตแลนด์ ผู้เขียนหนังสือ "The Wealth of Nations" แล ะเสนอนโยบายเสรีนิยม(Laissezfaire) รัฐบาลควรเข้ามาแทรกแซง ระบบเศรษฐศาสตร์ให้น้อยที่สุด
2. บิดาแห่งวิชาเศรษฐศาสตร์มหาภาค คือ จอห์น เมนาร์ด เคนส์ (John maynard Keynes) ผู้เขียนหนังสือ "The General Theory of Employment, Interest and Money" และเสนอแนวคิดที่ว่า รัฐบาลควรเข้ามาแทรกแซง ระบบเศรษฐศาสตร์มากขึ้น
2. บิดาแห่งวิชาเศรษฐศาสตร์มหาภาค คือ จอห์น เมนาร์ด เคนส์ (John maynard Keynes) ผู้เขียนหนังสือ "The General Theory of Employment, Interest and Money" และเสนอแนวคิดที่ว่า รัฐบาลควรเข้ามาแทรกแซง ระบบเศรษฐศาสตร์มากขึ้น
วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555
Krugman กับวิกฤติแห่งเอเซีย
นักเศรษฐศาสตร์เคราดกเจ้าของรางวัล John Bates Clark (รางวัลนี้จะถูกมอบให้กับนักเศรษฐศาสตร์อายุต่ำกว่า 40 ปีที่มีผลงานวิชาการดีเด่น โดยจะมีการคัดเลือกผู้สมควรได้รับรางวัลทุกๆสองปี) จากผลงานการรังสรรค์ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเงินและการค้าระหว่างประเทศ กำลังจะมาแสดงวิสัยทัศน์ให้กับนักธุรกิจ นักบริหารและคนในวงการการเงิน ด้วยสนนราคาค่าเข้าฟังที่แพงกว่าบัตรคอนเสิร์ตศิลปินระดับโลกที่หลายค่ายนำเข้ามาแสดงในบ้านเมืองเรานับสิบเท่า
ชื่อเสียงของครุกแมนขายได้ในภูมิภาคนี้เพราะเหตุที่เขาเคยเขียนบทความแหกกระแสเรื่อง The Myth of Asian's Miracle ในวารสาร Foreign Affairs เมื่อปี 1994
ในบทความนั้นครุกแมนได้เริ่มต้นด้วยการเปรียบเทียบการขยายตัวแบบก้าวกระโดดของเศรษฐกิจเอเซียตะวันออกกับเศรษฐกิจของสหภาพโซเวียตในอดีต
กาลครั้งหนึ่ง...กูรูเศรษฐกิจในโลกตะวันตกต่างเคยพากันตื่นตระหนกกับอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจสหภาพโซเวียต และต่างเชื่อกันว่าอีกไม่นานเท่าไหร่ เศรษฐกิจของสหภาพโซเวียตที่เติบโตอย่างรวดเร็วก็จะสามารถแซงเศรษฐกิจสหรัฐฯไปได้ ทว่าเหตุการณ์กลับมิได้เป็นไปดังที่เหล่ากูรูเศรษฐกิจพยากรณ์ไว้ ประเทศสหรัฐฯยังคงรักษาความเป็นหนึ่งในด้านเศรษฐกิจไว้ได้อย่างมั่นคง ในขณะที่สหภาพโซเวียตกลับแตกออกเป็นเสี่ยงๆ และมิหนำซ้ำความเป็นชาติมหาอำนาจยังถูกลดระดับลงไปกว่ายุคสมัยอดีต
ครุกแมนโยงปรากฎการณ์นี้เข้ากับภาพเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคเอเซียตะวันออกในช่วงต้นทศวรรษที่ 90 ที่หลายประเทศในภูมิภาคนี้ต่างขยายตัวในอัตราที่สูงอย่างเฉียบพลัน และรักษาระดับอัตราการขยายตัวสูงไว้ได้อย่างต่อเนื่อง จนถูกเรียกขานปรากฎการณ์นี้ว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์แห่งเอเซีย
เนื้อความเชิงเปรียบเทียบของพอล ครุกแมนนี้มิใช่แค่การเชื่อมโยงสองปรากฎการณ์ที่ไม่เคยมีใครริจะคิดนำมาประกอบการวิเคราะห์ แต่เขายังสร้างการอนุมานต่อไปด้วยว่า เศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคเอเซียนี้จะประสบชะตากรรมเดียวกันกับเศรษฐกิจของสหภาพโซเวียตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วย
เพียงบทความนี้บทความเดียว พอล ครุกแมนได้ทิ้งบอมบ์ลงกลางงานเลี้ยงฉลองที่ทุกๆฝ่ายกำลังชื่นมื่นกับความสำเร็จของประเทศในภูมิภาคนี้ และในขณะเดียวกันเขาได้สร้างความโกรธแค้นเกลียดชังให้กับหลายๆคนในภาคพื้นทวีปนี้ด้วย
แต่เมื่อวิกฤติเศรษฐกิจแห่งเอเซียอุบัติขึ้นในปี 1997 ทุกคนกลับหันมามองพอล ครุกแมนใหม่ ด้วยสายตาที่เปี่ยมด้วยศรัทธาและความนับถือคารวะ ในฐานะกูรูตัวจริง ที่สามารถหยั่งรู้ได้ถึงหายนะทางเศรษฐกิจล่วงหน้าถึงสามปี
ในงานเขียนชิ้นนี้ พอล ครุกแมนมองภาพเศรษฐกิจภูมิภาคเอเชียผ่านเลนส์ของนักวิชาการที่ยึดมั่นในทฤษฎีกระแสหลัก และทำการวิพากษ์ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นตามกรอบของทฤษฎีเศรษฐศาตร์ว่าด้วยการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
ด้วยกรอบทฤษฎีดังกล่าว ตรุกแมนทำการจำแนกแยกส่วนเหตุปัจจัยที่ก่อให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจหรือที่วัดอย่างเป็นรูปธรรมด้วยอัตราการเพิ่มของผลผลิตต่อหัว การจำแนกเหตุปัจจัยออกมาเป็นส่วนนี้เรียกว่าการทำ Growth Accounting ซึ่งตามกระบวนการนี้ อัตราการขยายตัวของผลผลิตต่อหัวนั้น จะมาจากเหตุปัจจัยหลักๆ สองประการ คือ หนึ่งเกิดจากการที่ประเทศมีการใช้ปัจจัยการผลิตต่างๆเพิ่มในอัตราที่สูงขึ้น และสองเกิดจากการที่ประเทศนั้นมีประสิทธิภาพในการผลิตเพิ่มสูงขึ้น
ครุกแมนชี้ให้เห็นว่าทั้งสหภาพโซเวียต และประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออก ต่างเร่งสั่งสมกำลังการผลิต และขยายการว่าจ้างปัจจัยการผลิตแทบทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นในลักษณะของการระดมจ้างแรงงานเข้าสู่กระบวนการผลิต หรือการเร่งติดตั้งเครื่องมือเครื่องจักรที่ใช้ประกอบการผลิต
การว่าจ้างปัจจัยที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ผลผลิตต่อหัวมีการเพิ่มในอัตราเร่งด้วยเช่นกัน ครุกแมนชี้ต่อไปว่าการสั่งสมทุนกายภาพ หรือการเพิ่มการใช้ปัจจัยการผลิตต่างๆ เพื่อขยายกำลังการผลิตนี้ไม่สามารถทำได้ตลอดไป เพราะเมื่อขอบเขตของการขยายตัวถึงขีดจำกัดแล้ว เพราะว่าไม่อาจรีดเงินออมมาไฟแนนซ์การลงทุนได้อีก หรือไม่สามารถผลักดันแรงงานใหม่ๆเข้าสู่กระบวนการผลิตได้ต่อไป เหตุปัจจัยส่วนแรกนี้จึงไม่สามารถทำหน้าที่หัวรถจักรฉุดลากให้เศรษฐกิจเติบโตในอัตราสูงอย่างต่อเนื่องได้ตลอดไป
ครุกแมนนำงานศึกษาของ อัลวิน ยังก์ (Alwyn Young) มาเสริมข้อสรุปของเขา ยังก์ใช้ Growth Accounting ทำการแยกแยะส่วนของอัตราการเพิ่มในผลผลิตต่อหัวที่เกิดจากการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต(เหตุปัจจัยที่สอง)ของกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมใหม่ในภูมิภาคเอเชีย (Asian NICs) เทียบกับประเทศอื่นๆในโลก ซึ่งเขาพบว่าการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตที่เกิดขึ้นในกลุ่ม Asian NICs นี้มิได้มีความแตกต่างไปจากอัตราที่พบในประเทศอื่นๆแต่อย่างใด ข้อค้นพบนี้ตอกย้ำข้อสรุปของครุกแมนในส่วนแรกว่า สิ่งที่เรียกขานกันว่า Asian's Miracle นั้นแท้ที่จริง มิได้มีอะไรที่ลึกลับเป็นปริศนาแต่อย่างใด หากแต่เป็นเพียงความสัมพันธ์ทางการผลิตอย่างง่ายๆเท่านั้นเอง ไม่ว่าระบบเศรษฐกิจใดก็ตามที่ทำการเพิ่มการใช้ปัจจัยการผลิตในอัตราเร่ง เศรษฐกิจนั้นย่อมมีอัตราการขยายตัวในผลผลิตแบบก้าวกระโดดได้ไม่ยากเย็นเลย
ดังนั้นในระยะยาวแล้ว เราอย่าได้คาดหวังเลยว่า เศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกจะโตในอัตราร้อยละสิบต่อปีตลอดไป ในระยะยาวนั้น เศรษฐกิจในภูมิภาคนี้จะไม่โตเร็วไปกว่าเศรษฐกิจของประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างประเทศสหรัฐฯอีกด้วย
นี่คือเนื้อหาสำคัญของบทความที่นำทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ว่าด้วยการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมาวิเคราะห์ข้อมูล และสร้างข้อสรุปได้อย่างงดงาม เหตุผลและข้อโต้แย้งถูกนำเสนอด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย เนียน เป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับนักเศรษฐศาสตร์ทุกคนที่คิดจะวิจารณ์ภาวะเศรษฐกิจ
และเนื้อความที่ได้สรุปไว้นี้ มิได้มีส่วนหนึ่งส่วนใดที่กล่าวทำนายถึงการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจแห่งภูมิภาคเอเชียแม้แต่น้อย ย้ำกันอีกครั้ง พอล ครุกแมนไม่เคยพยากรณ์ถึงวิกฤติเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ไว้ในบทความของเขา ยิ่งไปกว่านั้นประเทศสิงคโปร์ ซึ่งถูกครุกแมนวิพากษ์วิจารณ์หนัก (จนอาจจัดผู้นำประเทศนี้ได้ว่าเป็น “คู่กรณี” ของครุกแมน) ก็มิได้ประสบวิกฤติทางเศรษฐกิจในปี 1997 แต่อย่างใด
ในบทความปี 1994 นั้น พอล ครุกแมนเพียงพูดถึงการชะลอตัวของผลผลิตต่อหัวที่จะเกิดขึ้นในระยะยาวเท่านั้น (ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์ต่างทราบกันดีว่าจุดเวลาที่ทฤษฎีการขยายตัวทางเศรษฐกิจเรียกว่า ระยะยาวนั้น มันอาจยาวนานเกินกว่าช่วงอายุคนๆหนึ่ง) ซึ่งตามทฤษฎีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่นำมาใช้วิเคราะห์นั้น พิจารณาเพียงกลุ่มตัวแปรทางด้านการผลิตเพียงซีกเดียว มิได้มีตัวแปรทางการเงิน ระบบธนาคาร หรือหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่เกาะกินสถาบันการเงินแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังไม่มีการพูดถึงระบบอัตราแลกเปลี่ยน หรือแง่มุมของปัญหาในมิติของการเงินระหว่างประเทศแม้แต่น้อย
ครุกแมนได้เขียนบทความภายหลังจากเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในปี 1997 โดยพยายามอธิบายว่าวิกฤติเศรษฐกิจนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร เขาเรียกแบบจำลองที่ "พอจะ" อธิบายวิกฤติครั้งนี้ได้ว่าเป็น แบบจำลองในเจเนอเรชั่นที่สาม (บทความนี้ปรากฎบทเว็บไซด์ของเขาในราวปี 1998) ต่อจากแบบจำลอง Balance of Payment Crisis ของเขา(รุ่นที่หนึ่ง) และแบบจำลองวิกฤติแนว Self-Fulfilling ของ Maurice Obstfeld (รุ่นที่สอง)
แบบจำลองในรุ่นที่สามนี้ได้ให้ความสำคัญกับภาคการเงิน หรือระบบธนาคาร และผูกเรื่องเข้ากับวิกฤติเศรษฐกิจด้วยพฤติกรรมที่ฉกฉวยประโยชน์จากความไม่สมมาตรทางด้านข้อมูลสารสนเทศ หรือปัญหาที่เรียกว่า moral hazard และ adverse selection เรื่องราวเหล่านี้ไม่เคยปรากฎมาก่อนในบทความ Asian's Miracle ของครุกแมนแม้แต่น้อย และเหตุที่ได้รับผนวกเข้าในแบบจำลองวิกฤติรุ่นที่สามก็เพราะ ทุกๆฝ่ายได้ประจักษ์แล้วว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์ปี 1997 นี้มีทั้งด้านของการสูญเสียเงินสำรองระหว่างประเทศ (ตามลักษณะของ Balance of Payment Crisis ทั่วๆไปที่มาจากการโจมตีค่าเงิน) และด้านของความเสียหายในระบบการเงิน (Financial Crisis)
(ครุกแมนแทรกมุขไว้ในบทความของเขาว่า “ทวิ”วิกฤติเศรษฐกิจในลักษณะนี้ ได้เกิดขึ้นในกลุ่มประเทศ “MIT” อันประกอบด้วย Malaysia, Indonesia และ Thailand เพื่อให้พ้องกับชื่อย่อมหาวิทยาลัยที่เขาสังกัดอยู่ในขณะนั้น ซึ่งเป็นผลให้ต้องตัดประเทศเกาหลีใต้ออกไป หากพอล ครุกแมนได้มาเยือนประเทศไทยก่อนเขียนบทความนั้น เขาคงสามารถรวมประเทศเกาหลีเข้าไว้ด้วยได้ แล้วเรียงตัวอักษรนำหน้าประเทศเหล่านี้เป็น KMIT แทน MIT )
เรียกได้ว่าครุกแมนมาพูดถึงที่มาของวิกฤติก็เมื่อภายหลังจากเกิดวิกฤติไปแล้ว มิใช่ว่าเขาพยากรณ์วิกฤติได้ล่วงหน้าแต่อย่างใด
อย่างไรก็ดี ครุกแมนก็ไม่เคยคุยโม้โอ้อวดว่าตนเองเป็นผู้รู้เหตุการณ์ล่วงหน้า เขาเพียงเขียนตามที่เขาคิด และตามที่เขาวิเคราะห์ด้วยทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ ..อย่างตรงไปตรงมา
..หากแต่เป็นฝ่ายสื่อเองต่างหากที่พากันยกย่องและประเคนตำแหน่งผู้หยั่งรู้ให้กับครุกแมน..และพลอยทำให้เขาอุทิศเวลาส่วนใหญ่ให้กับงานเผยแพร่เศรษฐศาสตร์สู่มวลชน แทนที่จะมุ่งพัฒนาค้นคิดทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ใหม่ๆเหมือนช่วงที่เขายังไม่เป็นที่รู้จักในภูมิภาคนี้
หลายคนคงฝากความหวังไว้กับปาฐกถาของครุกแมน ว่าจะสามารถฉายภาพเศรษฐกิจไทย และภูมิภาคเอเชียให้เห็นกันล่วงหน้าได้ ทั้งๆที่ครุกแมนเองมิได้เป็นผู้พยากรณ์วิกฤติเศรษฐกิจล่วงหน้า.. ไม่รู้ว่าจะโทษสื่อของเราดีหรือไม่ ที่ไม่สามารถเข้าถึงเนื้อหาเชิงทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ในบทความของครุกแมนอย่างแท้จริง หรือว่าต้องการเพียงเพื่อปั่นราคาครุกแมนให้สมกับค่าบัตรเข้าฟังกันแน่
ข้าวจะยาก หมากจะแพง
ตลาดหุ้นทั่วภูมิภาค รวมทั้งตลาดหุ้นไทยเริ่มส่ออาการสลบไสลไปไหนกันไม่เป็นจนหมดแล้ว เหตุผลหลักๆ ก็เนื่องจากราคาน้ำมันนั่นแหละ ช่วงนี้ยังส่งผลให้ตลาดทองคำโลกเริ่มปั่นป่วนตามไปด้วยแล้ว ตอนนี้จึงอย่าแปลกใจกันไปเลยถ้าหากจะมีคนขายทั้งหุ้น ขายทั้งทองคำ แล้วเก็บเงินกันไว้เฉยๆ อาจจะเป็นสัญญาณของปรากฏการณ์ "เงินฝืด" ที่กำลังจะเกิดขึ้น และเมืองไทยก็อาจจะมีปรากฏการณ์ทั้ง "เงินเฟ้อ" และ "เงินฝืด" เกิดขึ้นพร้อมกันก็ได้ และถ้าหากเกิดขึ้นจริงก็ยากจะอธิบายกันได้ว่า "ข้าวจะยาก หมากจะแพง" ขึ้นไปอีกเท่าไหร่ กระซิบกันได้แต่เพียงว่า "เตรียมตัวเตรียมใจ" กันไว้แต่เนิ่นๆ กันเถอะครับวิกฤติการณ์ที่สืบเนื่องมาจากราคาน้ำมันเริ่มส่งผลกระทบแผ่ขยายเป็นวงกว้างไปแล้ว โดยเฉพาะสถานีบริการน้ำมัน หรือปั๊มน้ำมันนั่นแหละ เริ่มทยอยปิดตัวกันค่อนข้างมากแล้ว โดยเฉพาะตามต่างจังหวัด อีกไม่นานก็คงจะได้ข่าวสายการบินในประเทศบางแห่งต้องมีการหยุดบินกันบ้างแล้ว เหตุผลง่ายๆ ก็คือ "ขาดทุน" ไงเล่าครับ มีนักวิเคราะห์อาวุโสในแวดวงการเงินการธนาคารวิเคราะห์ไว้ว่า นี่คือสัญญาณเริ่มต้นของสงครามรูปแบบใหม่ ครั้งนี้เป็น "สงครามเศรษฐกิจ" ระหว่างชนชาติ ในแถบตะวันออกกลาง ซึ่งมีอาวุธสำคัญคือน้ำมัน ทำสงครามกับชาติฝั่งตะวันตก ซึ่งมีสหรัฐอเมริกา และพันธมิตรอีก 4 - 5 ชาติ อาศัยจังหวะที่เศรษฐกิจในสหรัฐกำลังถดถอยและตกต่ำ อาศัยกลไกทางการตลาด ทางการค้าช่วยกัน "ปั่นราคาน้ำมัน" กันขึ้นไป บีบให้ผู้คนในชาติตะวันตกเดือดร้อน พากันขายทรัพย์สินที่มีอยู่ออกมาให้หมด ไม่ว่าราคาจะถูกแสนถูกเท่าใดก็ขาย ส่งผลให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ตัวการที่ทำให้เกิดความเดือดร้อนไปทั่วโลกก็คือ "ราคาน้ำมัน" ที่แพงแสนแพงนั่นเอง โดยยังไม่มีใครคาดเดาได้ว่าสงครามครั้งนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อใด แต่ที่ทุกคนควรรู้ในขณะนี้ก็คือ "ข้าวจะยาก หมากจะแพง" ยังไงเล่าครับ ขอย้ำอีกครั้ง เตรียมตัว เตรียมใจ กันไว้แต่เดี๋ยวนี้เสียเถอะครับ อย่างน้อยๆ เวลาได้รับผลกระทบจะได้ผ่อนจากหนักเป็นเบาในวงการค้าหุ้นช่วงนี้ก็อย่าแปลกใจไปเลยถ้าหากว่า ภายในระยะเวลา 2 - 3 สัปดาห์ หากมูลค่าการซื้อขายจะหดหายไปอย่างมาก ก็เพราะในสถานการณ์ "ข้าวยาก หมากแพง" แบบนี้นักลงทุน นักเก็งกำไรคงจะไม่มีกะจิตกะใจมาลงทุนกันเท่าไรนัก ยิ่งนักเก็งกำไรรายวันยิ่งไปกันใหญ่ พากันหลบไปดูบอลยูโรกันหมดแล้วครับ
เก็งกำไรทางเทคนิค STA แนวรับ 15.80 บาท แนวต้าน 17.00 บาท
LST แนวรับ 4.60, 4.80 บาท แนวต้าน 5.00, 5.30 บาท
ซื้อลงทุน ADVANC ราคาเป้าหมาย 110 - 120 บาท, BEC ราคาเป้าหมาย 33 บาท
LST แนวรับ 4.60, 4.80 บาท แนวต้าน 5.00, 5.30 บาท
ซื้อลงทุน ADVANC ราคาเป้าหมาย 110 - 120 บาท, BEC ราคาเป้าหมาย 33 บาท
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)