จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555

Krugman กับวิกฤติแห่งเอเซีย

นักเศรษฐศาสตร์เคราดกเจ้าของรางวัล John Bates Clark (รางวัลนี้จะถูกมอบให้กับนักเศรษฐศาสตร์อายุต่ำกว่า 40 ปีที่มีผลงานวิชาการดีเด่น โดยจะมีการคัดเลือกผู้สมควรได้รับรางวัลทุกๆสองปี) จากผลงานการรังสรรค์ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเงินและการค้าระหว่างประเทศ กำลังจะมาแสดงวิสัยทัศน์ให้กับนักธุรกิจ นักบริหารและคนในวงการการเงิน ด้วยสนนราคาค่าเข้าฟังที่แพงกว่าบัตรคอนเสิร์ตศิลปินระดับโลกที่หลายค่ายนำเข้ามาแสดงในบ้านเมืองเรานับสิบเท่า

ชื่อเสียงของครุกแมนขายได้ในภูมิภาคนี้เพราะเหตุที่เขาเคยเขียนบทความแหกกระแสเรื่อง The Myth of Asian's Miracle ในวารสาร Foreign Affairs เมื่อปี 1994

ในบทความนั้นครุกแมนได้เริ่มต้นด้วยการเปรียบเทียบการขยายตัวแบบก้าวกระโดดของเศรษฐกิจเอเซียตะวันออกกับเศรษฐกิจของสหภาพโซเวียตในอดีต

กาลครั้งหนึ่ง...กูรูเศรษฐกิจในโลกตะวันตกต่างเคยพากันตื่นตระหนกกับอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจสหภาพโซเวียต และต่างเชื่อกันว่าอีกไม่นานเท่าไหร่ เศรษฐกิจของสหภาพโซเวียตที่เติบโตอย่างรวดเร็วก็จะสามารถแซงเศรษฐกิจสหรัฐฯไปได้ ทว่าเหตุการณ์กลับมิได้เป็นไปดังที่เหล่ากูรูเศรษฐกิจพยากรณ์ไว้ ประเทศสหรัฐฯยังคงรักษาความเป็นหนึ่งในด้านเศรษฐกิจไว้ได้อย่างมั่นคง ในขณะที่สหภาพโซเวียตกลับแตกออกเป็นเสี่ยงๆ และมิหนำซ้ำความเป็นชาติมหาอำนาจยังถูกลดระดับลงไปกว่ายุคสมัยอดีต

ครุกแมนโยงปรากฎการณ์นี้เข้ากับภาพเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคเอเซียตะวันออกในช่วงต้นทศวรรษที่ 90 ที่หลายประเทศในภูมิภาคนี้ต่างขยายตัวในอัตราที่สูงอย่างเฉียบพลัน และรักษาระดับอัตราการขยายตัวสูงไว้ได้อย่างต่อเนื่อง จนถูกเรียกขานปรากฎการณ์นี้ว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์แห่งเอเซีย

เนื้อความเชิงเปรียบเทียบของพอล ครุกแมนนี้มิใช่แค่การเชื่อมโยงสองปรากฎการณ์ที่ไม่เคยมีใครริจะคิดนำมาประกอบการวิเคราะห์ แต่เขายังสร้างการอนุมานต่อไปด้วยว่า เศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคเอเซียนี้จะประสบชะตากรรมเดียวกันกับเศรษฐกิจของสหภาพโซเวียตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วย

เพียงบทความนี้บทความเดียว พอล ครุกแมนได้ทิ้งบอมบ์ลงกลางงานเลี้ยงฉลองที่ทุกๆฝ่ายกำลังชื่นมื่นกับความสำเร็จของประเทศในภูมิภาคนี้ และในขณะเดียวกันเขาได้สร้างความโกรธแค้นเกลียดชังให้กับหลายๆคนในภาคพื้นทวีปนี้ด้วย

แต่เมื่อวิกฤติเศรษฐกิจแห่งเอเซียอุบัติขึ้นในปี 1997 ทุกคนกลับหันมามองพอล ครุกแมนใหม่ ด้วยสายตาที่เปี่ยมด้วยศรัทธาและความนับถือคารวะ ในฐานะกูรูตัวจริง ที่สามารถหยั่งรู้ได้ถึงหายนะทางเศรษฐกิจล่วงหน้าถึงสามปี

ในงานเขียนชิ้นนี้ พอล ครุกแมนมองภาพเศรษฐกิจภูมิภาคเอเชียผ่านเลนส์ของนักวิชาการที่ยึดมั่นในทฤษฎีกระแสหลัก และทำการวิพากษ์ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นตามกรอบของทฤษฎีเศรษฐศาตร์ว่าด้วยการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ

ด้วยกรอบทฤษฎีดังกล่าว ตรุกแมนทำการจำแนกแยกส่วนเหตุปัจจัยที่ก่อให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจหรือที่วัดอย่างเป็นรูปธรรมด้วยอัตราการเพิ่มของผลผลิตต่อหัว การจำแนกเหตุปัจจัยออกมาเป็นส่วนนี้เรียกว่าการทำ Growth Accounting ซึ่งตามกระบวนการนี้ อัตราการขยายตัวของผลผลิตต่อหัวนั้น จะมาจากเหตุปัจจัยหลักๆ สองประการ คือ หนึ่งเกิดจากการที่ประเทศมีการใช้ปัจจัยการผลิตต่างๆเพิ่มในอัตราที่สูงขึ้น และสองเกิดจากการที่ประเทศนั้นมีประสิทธิภาพในการผลิตเพิ่มสูงขึ้น

ครุกแมนชี้ให้เห็นว่าทั้งสหภาพโซเวียต และประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออก ต่างเร่งสั่งสมกำลังการผลิต และขยายการว่าจ้างปัจจัยการผลิตแทบทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นในลักษณะของการระดมจ้างแรงงานเข้าสู่กระบวนการผลิต หรือการเร่งติดตั้งเครื่องมือเครื่องจักรที่ใช้ประกอบการผลิต

การว่าจ้างปัจจัยที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ผลผลิตต่อหัวมีการเพิ่มในอัตราเร่งด้วยเช่นกัน ครุกแมนชี้ต่อไปว่าการสั่งสมทุนกายภาพ หรือการเพิ่มการใช้ปัจจัยการผลิตต่างๆ เพื่อขยายกำลังการผลิตนี้ไม่สามารถทำได้ตลอดไป เพราะเมื่อขอบเขตของการขยายตัวถึงขีดจำกัดแล้ว เพราะว่าไม่อาจรีดเงินออมมาไฟแนนซ์การลงทุนได้อีก หรือไม่สามารถผลักดันแรงงานใหม่ๆเข้าสู่กระบวนการผลิตได้ต่อไป เหตุปัจจัยส่วนแรกนี้จึงไม่สามารถทำหน้าที่หัวรถจักรฉุดลากให้เศรษฐกิจเติบโตในอัตราสูงอย่างต่อเนื่องได้ตลอดไป

ครุกแมนนำงานศึกษาของ อัลวิน ยังก์ (Alwyn Young) มาเสริมข้อสรุปของเขา ยังก์ใช้ Growth Accounting ทำการแยกแยะส่วนของอัตราการเพิ่มในผลผลิตต่อหัวที่เกิดจากการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต(เหตุปัจจัยที่สอง)ของกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมใหม่ในภูมิภาคเอเชีย (Asian NICs) เทียบกับประเทศอื่นๆในโลก ซึ่งเขาพบว่าการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตที่เกิดขึ้นในกลุ่ม Asian NICs นี้มิได้มีความแตกต่างไปจากอัตราที่พบในประเทศอื่นๆแต่อย่างใด ข้อค้นพบนี้ตอกย้ำข้อสรุปของครุกแมนในส่วนแรกว่า สิ่งที่เรียกขานกันว่า Asian's Miracle นั้นแท้ที่จริง มิได้มีอะไรที่ลึกลับเป็นปริศนาแต่อย่างใด หากแต่เป็นเพียงความสัมพันธ์ทางการผลิตอย่างง่ายๆเท่านั้นเอง ไม่ว่าระบบเศรษฐกิจใดก็ตามที่ทำการเพิ่มการใช้ปัจจัยการผลิตในอัตราเร่ง เศรษฐกิจนั้นย่อมมีอัตราการขยายตัวในผลผลิตแบบก้าวกระโดดได้ไม่ยากเย็นเลย

ดังนั้นในระยะยาวแล้ว เราอย่าได้คาดหวังเลยว่า เศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกจะโตในอัตราร้อยละสิบต่อปีตลอดไป ในระยะยาวนั้น เศรษฐกิจในภูมิภาคนี้จะไม่โตเร็วไปกว่าเศรษฐกิจของประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างประเทศสหรัฐฯอีกด้วย

นี่คือเนื้อหาสำคัญของบทความที่นำทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ว่าด้วยการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมาวิเคราะห์ข้อมูล และสร้างข้อสรุปได้อย่างงดงาม เหตุผลและข้อโต้แย้งถูกนำเสนอด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย เนียน เป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับนักเศรษฐศาสตร์ทุกคนที่คิดจะวิจารณ์ภาวะเศรษฐกิจ

และเนื้อความที่ได้สรุปไว้นี้ มิได้มีส่วนหนึ่งส่วนใดที่กล่าวทำนายถึงการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจแห่งภูมิภาคเอเชียแม้แต่น้อย ย้ำกันอีกครั้ง พอล ครุกแมนไม่เคยพยากรณ์ถึงวิกฤติเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ไว้ในบทความของเขา ยิ่งไปกว่านั้นประเทศสิงคโปร์ ซึ่งถูกครุกแมนวิพากษ์วิจารณ์หนัก (จนอาจจัดผู้นำประเทศนี้ได้ว่าเป็น “คู่กรณี” ของครุกแมน) ก็มิได้ประสบวิกฤติทางเศรษฐกิจในปี 1997 แต่อย่างใด

ในบทความปี 1994 นั้น พอล ครุกแมนเพียงพูดถึงการชะลอตัวของผลผลิตต่อหัวที่จะเกิดขึ้นในระยะยาวเท่านั้น (ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์ต่างทราบกันดีว่าจุดเวลาที่ทฤษฎีการขยายตัวทางเศรษฐกิจเรียกว่า ระยะยาวนั้น มันอาจยาวนานเกินกว่าช่วงอายุคนๆหนึ่ง) ซึ่งตามทฤษฎีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่นำมาใช้วิเคราะห์นั้น พิจารณาเพียงกลุ่มตัวแปรทางด้านการผลิตเพียงซีกเดียว มิได้มีตัวแปรทางการเงิน ระบบธนาคาร หรือหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่เกาะกินสถาบันการเงินแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังไม่มีการพูดถึงระบบอัตราแลกเปลี่ยน หรือแง่มุมของปัญหาในมิติของการเงินระหว่างประเทศแม้แต่น้อย

ครุกแมนได้เขียนบทความภายหลังจากเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในปี 1997 โดยพยายามอธิบายว่าวิกฤติเศรษฐกิจนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร เขาเรียกแบบจำลองที่ "พอจะ" อธิบายวิกฤติครั้งนี้ได้ว่าเป็น แบบจำลองในเจเนอเรชั่นที่สาม (บทความนี้ปรากฎบทเว็บไซด์ของเขาในราวปี 1998) ต่อจากแบบจำลอง Balance of Payment Crisis ของเขา(รุ่นที่หนึ่ง) และแบบจำลองวิกฤติแนว Self-Fulfilling ของ Maurice Obstfeld (รุ่นที่สอง)

 แบบจำลองในรุ่นที่สามนี้ได้ให้ความสำคัญกับภาคการเงิน หรือระบบธนาคาร และผูกเรื่องเข้ากับวิกฤติเศรษฐกิจด้วยพฤติกรรมที่ฉกฉวยประโยชน์จากความไม่สมมาตรทางด้านข้อมูลสารสนเทศ หรือปัญหาที่เรียกว่า moral hazard และ adverse selection เรื่องราวเหล่านี้ไม่เคยปรากฎมาก่อนในบทความ Asian's Miracle ของครุกแมนแม้แต่น้อย และเหตุที่ได้รับผนวกเข้าในแบบจำลองวิกฤติรุ่นที่สามก็เพราะ ทุกๆฝ่ายได้ประจักษ์แล้วว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์ปี 1997 นี้มีทั้งด้านของการสูญเสียเงินสำรองระหว่างประเทศ (ตามลักษณะของ Balance of Payment Crisis ทั่วๆไปที่มาจากการโจมตีค่าเงิน) และด้านของความเสียหายในระบบการเงิน (Financial Crisis)

(ครุกแมนแทรกมุขไว้ในบทความของเขาว่า “ทวิ”วิกฤติเศรษฐกิจในลักษณะนี้ ได้เกิดขึ้นในกลุ่มประเทศ “MIT” อันประกอบด้วย Malaysia, Indonesia และ Thailand เพื่อให้พ้องกับชื่อย่อมหาวิทยาลัยที่เขาสังกัดอยู่ในขณะนั้น ซึ่งเป็นผลให้ต้องตัดประเทศเกาหลีใต้ออกไป หากพอล ครุกแมนได้มาเยือนประเทศไทยก่อนเขียนบทความนั้น เขาคงสามารถรวมประเทศเกาหลีเข้าไว้ด้วยได้ แล้วเรียงตัวอักษรนำหน้าประเทศเหล่านี้เป็น KMIT แทน MIT )

เรียกได้ว่าครุกแมนมาพูดถึงที่มาของวิกฤติก็เมื่อภายหลังจากเกิดวิกฤติไปแล้ว มิใช่ว่าเขาพยากรณ์วิกฤติได้ล่วงหน้าแต่อย่างใด

อย่างไรก็ดี ครุกแมนก็ไม่เคยคุยโม้โอ้อวดว่าตนเองเป็นผู้รู้เหตุการณ์ล่วงหน้า เขาเพียงเขียนตามที่เขาคิด และตามที่เขาวิเคราะห์ด้วยทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ ..อย่างตรงไปตรงมา

..หากแต่เป็นฝ่ายสื่อเองต่างหากที่พากันยกย่องและประเคนตำแหน่งผู้หยั่งรู้ให้กับครุกแมน..และพลอยทำให้เขาอุทิศเวลาส่วนใหญ่ให้กับงานเผยแพร่เศรษฐศาสตร์สู่มวลชน แทนที่จะมุ่งพัฒนาค้นคิดทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ใหม่ๆเหมือนช่วงที่เขายังไม่เป็นที่รู้จักในภูมิภาคนี้

หลายคนคงฝากความหวังไว้กับปาฐกถาของครุกแมน ว่าจะสามารถฉายภาพเศรษฐกิจไทย และภูมิภาคเอเชียให้เห็นกันล่วงหน้าได้ ทั้งๆที่ครุกแมนเองมิได้เป็นผู้พยากรณ์วิกฤติเศรษฐกิจล่วงหน้า.. ไม่รู้ว่าจะโทษสื่อของเราดีหรือไม่ ที่ไม่สามารถเข้าถึงเนื้อหาเชิงทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ในบทความของครุกแมนอย่างแท้จริง หรือว่าต้องการเพียงเพื่อปั่นราคาครุกแมนให้สมกับค่าบัตรเข้าฟังกันแน่

ไม่มีความคิดเห็น: