ในเสาด้านเศรษฐกิจ การจะเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC (ASEAN Economic Community) นั้น การเปิดเสรีทางเศรษฐกิจจะมีผลทำให้การประกอบธุรกิจต้องเผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้นและมากขึ้น ผู้ประกอบการทั้งหลาย นอกจากจะต้องแข่งขันกับผู้ประกอบการภายในประเทศด้วยกันเองแล้วยังต้องพบกับคู่แข่งที่เข้ามาจากภายนอกประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะที่เป็นกลุ่มทุนขนาดใหญ่หรือกลุ่มทุนข้ามชาติ เนื่องจากกลุ่มทุนเหล่านี้จะมีเงินลงทุนจำนวนมาก มีสาขาอยู่ตามที่ต่างๆ ซึ่งจะเป็นสายปุานที่สามารถนำมาช่วยเหลือในการลงทุนเพื่อเปิดกิจการใหม่ในที่ใหม่ๆได้ง่ายกว่ากลุ่มทุนขนาดเล็ก
ขณะที่ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ของไทยหลายรายมีการปรับตัวในรูปแบบต่างๆ เช่น การรวมกลุ่มผู้ประกอบการในลักษณะเดียวกัน มีความเกี่ยวข้องหรือส่งเสริมกันที่เรียกกันว่าคลัสเตอร์ (cluster) หรืออาจเป็นการแตกไลน์ทางธุรกิจ โดยขยายกิจการที่ทาออกไปในเรื่องอื่นๆเพิ่มเติม กลุ่มเหล่านี้ได้แก่ เครือซีพี เครือ สหพัฒน์ และเครือเซ็นทรัล เป็นต้น
ขณะเดียวกันยังมีผู้ประกอบการอีกจำนวนมากที่ประกอบธุรกิจแบบปัจเจก คือดา เนินกิจการเพียงลำพัง และไม่มีการแตกไลน์ทางธุรกิจเพื่อเป็นสายปุานให้กิจการของตน เพราะมีทุนไม่มากเท่ากลุ่มข้างต้น ทำให้ต้องเผชิญกับภาวะความเสี่ยงทางธุรกิจสูง คนไทยไม่ได้ถูกฝึกให้ทำงานเป็นทีม ชอบที่จะทาคนเดียว เด่นคนเดียว เพราะเคยชินกับการมีชื่อเสียงเพียงคนเดียว แต่ถ้าล้มก็จะล้มคนเดียวเหมือนกัน อย่างที่เราชอบพูดเล่นกันว่า ศิลปินเดี่ยว นั่นคือสะท้อนความเป็นตัวตนของคนไทยได้อย่างดี และนี่กลายเป็นข้อด้อยของคนไทยในการทำงานหากจะแข่งขันกับสากล
สำนักงานส่งเสริมวิสาห กิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เคยให้ข้อมูลในการสัมมนาการเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียนที่กระทรวงการต่างประเทศจัดขึ้นว่า มีผู้ประกอบการรายย่อยไม่กี่รายเท่านั้นที่ลงทะเบียนให้ข้อมูลสถานที่ติดต่อ (directory) ของตนไว้กับ สสว. จึงเป็นความยากของ สสว. ที่จะทราบ จำนวนผู้ประกอบการรายย่อยของไทยทั้งหมดหากจะวางแผนการให้ความช่วยเหลือ และเป็นความยากของผู้ประ กอบการจากภายนอกที่ต้องการติดต่อประสานงานเพื่อดำเนินกิจการร่วมกับผู้ประกอบการของไทย
สุดท้ายคือ เป็นความลำบากของผู้ประกอบการของไทยเองที่ไม่ให้ข้อมูลกับ สสว. เพราะเมื่อเกิดปัญหาขึ้น สสว. ก็จะไม่ทราบและวางแผนให้ความช่วยเหลือไม่ได้ทันท่วงที ผู้ประกอบการเหล่านั้นก็ต้องรับความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขปัญหา หรือแม้ แต่การเผชิญกับภาวะล้มละ ลายด้วยตนเอง ภาครัฐจะไม่สามารถช่วยเหลือได้ทัน ในโลกของการทำธุรกิจแบบใหม่ เราต้องยกเลิกความคิดที่ว่าการรวมกลุ่มกันทำงานจะทำให้เขารู้ความลับของเราลงไปได้แล้ว การรวมกลุ่มผู้ประกอบการไม่ได้หมายความว่าจะต้องให้เขารู้เรื่องของเราทั้งหมด หากแต่เป็นการช่วยสร้างพลังต่อรองในธุรกิจเราให้เข้มแข็งขึ้นต่างหาก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย
ยกตัวอย่างกลุ่มผู้ผลิตขนมอบหรือเบเกอรี่ การรวมกลุ่มกันอาจช่วยเพิ่มอำนาจการต่อรองในการซื้อสินค้าเพื่อผลิตเบเกอรี่ได้ถูกลง ร่วมกันหาทางแก้ไขปัญหาหากสินค้าบางชนิดเกิดขาดแคลนหรือมีราคาสูงมาก มีการพัฒนารูปแบบเบเกอรี่ใหม่ๆเพิ่มขึ้นเพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคและผู้ประกอบการ ที่สำคัญจะช่วยไม่ให้ผู้ประกอบการต้องปิดตัวลงหากกระแสความนิยมเบเกอรี่ชนิดนั้นๆเปลี่ยนไป และสามารถแข่งขันกับเบเกอรี่จากภายนอกประเทศอีกด้วย หากผู้ประกอบการรายย่อยของไทยยังไม่คิดรวมกลุ่มกันให้มีพลังมากขึ้นแล้วไซร้ เมื่อไทยเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในอีก 3 ปีข้างหน้า ก็เตรียมตัวปิดกิจการได้แน่นอน เพราะตลาดเสรีจะเกิดขึ้นทั่วประเทศอาเซียน ผู้ประกอบการจากภายนอกจะหลั่งไหลเข้ามายัง ประเทศไทย เนื่องจากไทยเป็นตลาดที่ผู้ประกอบการทั้งหลายไม่ว่าขนาดใหญ่ กลาง หรือเล็ก ให้ความสนใจอย่างมาก เพราะ คนไทยชอบความทันสมัยตามกระแสนิยมอย่างไม่ตกหล่น สินค้าใดที่ได้ชื่อว่าอยู่ในกระ แสนิยมสามารถหาซื้อได้ทันที
ละอัตตาและความกลัวว่าความลับในการทำธุรกิจของตนจะถูกเปิดเผยได้แล้ว ถึงเวลาต้องเปิดใจให้กว้าง มองภาพความเป็นจริง อย่างน้อยการรวมกลุ่มหรือการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการไว้กับภาครัฐจะช่วยให้ภาครัฐมีข้อมูลพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือเมื่อประสบปัญหาได้อย่างทันท่วงที หากมีข้อสงสัยใดๆเชื่อว่าภาครัฐพร้อมให้คาแนะนำเพื่อป้องกันปัญหาและความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับกิจการ
ที่มาhttp://www.thai-aec.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น