น้องชาย หรือ เกิดการละเมิดทางเพศระหว่างเพศเดียวกัน เช่น
หญิงกับหญิง หรือ ชายกับชาย จะไม่ถือว่าเป็นการละเมิดทาง
เพศตามกฎหมาย แต่ในบางสังคมปัจจุบัน การติดรูปจาก
นิตยสาร Play Boy ในที่ทำงาน หรือ การพูดถึงรูปร่างของเพศ
ตรงข้าม เช่น อ้วนไป หรือ ผอมไป ถือเป็นการละเมิดทางเพศ
ตามกฎหมาย
สาระสำคัญของบทความชี้ให้เห็น ความสำคัญของปัญหาการ
ละเมิดทางเพศ และ เสนอประเด็นเรื่อง การต่อต้านการละเมิด
ทางเพศ ผ่านการบัญญัติข้อกำหนดทางกฎหมายที่ชัดเจน ซึ่ง
ผมคิดว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ที่น่าตื่นเต้น คือ “เหตุผล”
ในการต่อต้านการละเมิดทางเพศครับ บทความเสนอ “เหตุผล”
ในการต่อต้านการละเมิดทางเพศผ่านแบบจำลองทาง
เศรษฐศาสตร์ที่น่าสนใจ ผมอ่านแล้วสนุก เลยอยากนำมาเล่าให้
ผู้อ่านฟัง ลองจินตนาการ 2 กรณีตัวอย่างครับ
กรณีแรก กฎหมายกำหนดให้ คนจนที่รัฐจัดสรรกรรมสิทธิ์ใน
ที่ดิน (เพื่อเป็นที่อยู่อาศัย หรือ เพื่อทำการเกษตร) ไม่สามารถ
ขายกรรมสิทธิ์ในที่ดิ
นดังกล่าวแก่บุคคลอื่น เพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของคนจน
กรณีที่สอง กฎหมายกำหนดให้ นายจ้างไม่สามารถเสนอ
สัญญาจ้าง ในรูปแบบที่นายจ้างจ่ายค่าจ้างสูง และ มีสิทธิในกา
รละเมิดทางเพศลูกจ้าง เพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของลูกจ้าง ถ้า
เอาข้อกำหนดทางกฎหมายจาก 2 กรณีตัวอย่างข้างต้นไปถาม
ความคิดเห็นนักเศรษฐศาสตร์ นักเศรษฐศาสตร์คงหัวเราะใน
กรณีแรก แต่ หัวเราะไม่ออกในกรณีที่สอง ทั้งๆที่ตรรกะของนัก
เศรษฐศาสตร์ในการคัดค้านข้อกำหนดทางกฎหมายทั้งสอง
กรณีเหมือนกันเลยครับ เหมือนกันยังไงเหรอครับ
ในกรณีแรก นักเศรษฐศาสตร์คัดค้านข้อกำหนดทางกฎหมาย
ด้วยเหตุผลว่า การที่กฎหมายกำหนดให้คนจนไม่สามารถขาย
กรรมสิทธิ์ในที่ดินแก่บุคคลอื่น จะทำให้กลุ่มที่เสียประโยชน์ คือ
"คนจน" เอง เนื่องจาก การที่คนจน (เจ้าของสิทธิ) จะขายสิทธิ
(ในที่ดิน) แก่บุคคลอื่นหรือไม่ เป็นการประเมิน ประโยชน์จาก
การขายสิทธิ (เงินจากการขายที่ดิน, ที่อยู่ใหม่ที่ดีกว่าเดิม) และ ต้นทุนจากการขายสิทธิ (ต้องหาที่อยู่ใหม่) ของคนจน หากเขา
คิดว่า การขายสิทธิจะทำให้ได้ประ
โยชน์มากกว่าต้นทุน ก็ขาย แต่ถ้าเป็นกรณีตรงข้าม ก็ไม่ขาย
ดังนั้น ข้อกำหนดทางกฎหมายในกรณีแรกตัดทางเลือกของ
คนจนเมื่อเขาพบว่า ประโยชน์ มากกว่า ต้นทุนจากการขายสิทธิ พูดอีกนัยหนึ่ง กฎหมายในกรณีแรกเป็นการริดรอน "สิทธิใ
การขายสิทธิ" ของคนจน และ ทำให้คนจนเสียประโยชน์
หากนักเศรษฐศาสตร์ใช้ตรรกะแบบเดียวกันในกรณีที่สอง นัก
เศรษฐศาสตร์ผู้เชื่อในเสรีภาพของทางเลือก และ ความคงเส้น
คงวาของตรรกะ จำเป็นต้องให้เหตุผลว่า การที่กฎหมาย
กำหนดให้ลูกจ้างไม่สามารถขายสิทธิในการถูกละเมิดทางเพศ
แก่นายจ้าง จะทำให้กลุ่มที่เสียประโยชน์ คือ "ลูกจ้าง" เอง
เนื่องจากการที่ลูกจ้าง (เจ้าของสิทธิ) จะขายสิทธิ (ในการถูก
ละเมิดทางเพศ) แก่นายจ้างหรือไม่ เป็นการประเมิน ประโยชน์
จากการขายสิทธิ (ได้เลื่อนตำแหน่ง, ได้เงินเดือนเพิ่ม) และ
ต้นทุนจากการขายสิทธิ (เป็นทุกข์ทั้งกายและใจ, กินไม่ได้นอน
ไม่หลับ) ของลูกจ้าง หากลูกจ้างคิดว่าการขายสิทธิ ทำให้เขา
ได้ประโยชน์มากกว่าต้นทุน ก็ขาย แต่ถ้าเป็นกรณีตรงข้าม ก็ไม่
ขาย ทำให้ข้อกำหนดทางกฎหมายในกรณีนี้ก็เช่นเดียวกับ
กรณีแรก คือ เป็นกฎหมายที่ริดรอน "สิทธิในการขายสิทธิ" ของ
ลูกจ้าง และ ทำให้ลูกจ้างเสียประโยชน์
เห็นไหมครับ ถ้านักเศรษฐศาสตร์ใช้ตรรกะชุดเดียวกันเพื่อคัดค้านข้อกำหนดทางกฎหมายจาก 2 กรณีตัวอย่าง นักเศรษฐศาสตร์ต้องคัดค้านกฎหมายที่ริดรอน "สิทธิในการขายสิทธิ" ทั้งสองกรณี เพราะ ทั้งสองกรณีเป็นการที่ผู้บรรลุนิติภาวะ (ไม่ว่าจะเป็น คนจนที่ต้องการขายสิทธิในที่ดิน หรือ ลูกจ้างที่ต้องการขายสิทธิในการถูกละเมิดทางเพศ) ตัดสินใจเลือกโดยสมัครใจ และ ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน
แต่เดี๋ยวก่อนครับ ทำไมเมื่อเราเอา 2 กรณีตัวอย่าง (ที่มีตรรกะในการคัดค้านเหมือนกัน) ไปถามความคิดเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ นักเศรษฐศาสตร์คงหัวเราะ (เพื่อคัดค้าน) กฎหมายที่ริดรอน "สิทธิในการขายสิทธิที่ดิน” กรณีแรก แต่หัวเราะไม่ออก (ลังเลที่จะคัดค้าน) กฎหมายที่ริดรอน "สิทธิในการขายสิทธิการถูกละเมิดทางเพศ" กรณีที่สอง ทำไมครับ ผมคิดว่าเรื่องนี้คำอธิบายผ่านความถูกผิดด้านศีลธรรมอาจไม่เพียงพอ Basu (2003) เสนอเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์ในการต่อต้านการละเมิดทางเพศ (สนับสนุนกฎหมายที่ริดรอน "สิทธิในการขายสิทธิการละเมิดทางเพศ”) ด้วยแบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์ครับ
แบบจำลองดังกล่าว เปรียบเทียบสวัสดิการแรงงาน ในเรื่อง ค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับ และ ต้นทุนของลูกจ้างในการถูกละเมิดทางเพศ ในสองสถานการณ์ที่มีข้อกำหนดทางกฎหมายแตกต่างกัน เพื่อพิสูจน์ว่า ลูกจ้างจะมีสวัสดิการดีขึ้นในสถานการณ์ที่มีข้อกำหนดทางกฎหมาย "ห้าม" การละเมิดทางเพศถูกบังคับใช้
สถานการณ์แรก เป็นสถานการณ์ที่กฎหมาย "อนุญาต" การละเมิดทางเพศ ทำให้นายจ้างสามารถเสนอสัญญาจ้าง 2 รูปแบบ คือ สัญญา A เป็นค่าจ้างสูง แต่ ลูกจ้างจะถูกละเมิดทางเพศจากนายจ้าง โดยต้นทุนจากการถูกละเมิดทางเพศของลูกจ้างแต่ละคนมีความแตกต่างกัน สัญญา B เป็นค่าจ้างต่ำ แต่ ลูกจ้างไม่ถูกละเมิดทางเพศ สถานการณ์ที่สอง เป็นสถานการณ์ที่กฎหมาย "ห้าม" การละเมิดทางเพศ ทำให้นายจ้างสามารถเสนอสัญญาจ้างได้เพียงรูปแบบเดียวคือ สัญญา C เป็นค่าจ้างกลาง และ ลูกจ้างไม่ถูกละเมิดทางเพศ
ภายใต้ข้อสมมติเรื่องตลาดแรงงานแข่งขันสมบูรณ์ Basu
(2003) พิสูจน์ให้เห็นว่า ระดับค่าจ้างในสัญญา C (ที่กฎหมาย
"ห้าม" การละเมิดทางเพศ) จะสูงกว่า ระดับค่าจ้างในสัญญา B
(ที่กฎหมาย "อนุญาต" การละเมิดทางเพศ) เสมอ ทำให้ลูกจ้างที่
เปลี่ยนจากสัญญา B สู่สัญญา C มีสวัสดิการดีขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น
จะมีลูกจ้างบางส่วนที่เคยเลือกสัญญา A (ที่กฎหมาย "อนุญาต"
การละเมิดทางเพศ) เปลี่ยนมาเลือกสัญญา C (ที่กฎหมาย
"ห้าม" การละเมิดทางเพศ) เมื่อมีการเปลี่ยนกติกาจากข้อ
กำหนดทางกฎหมาย ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าว ทำให้สวัสดิการ
ของลูกจ้างโดยรวมดีขึ้นในสถานการณ์ที่มี กฎหมาย "ห้าม"
การละเมิดทางเพศ เปรียบเทียบกับ สถานการณ์ที่กฎหมาย
“อนุญาต” การละเมิดทางเพศ
ข้อพิสูจน์เรื่องสวัสดิการของลูกจ้างที่ดีขึ้นจากแบบจำลองนี้เอง
ครับที่ Basu (2003) ใช้เป็น “เหตุผล” ในการต่อต้านการละเมิด
ทางเพศ (สนับสนุนกฎหมายที่ริดรอน "สิทธิในการขายสิทธิ")
เหตุผลดังกล่าวไม่ใช่ประเด็นว่าด้วยความถูกผิดด้านศีลธรรม
ครับ เพราะ ผมคิดว่าความถูกผิดด้านศีลธรรม แปรผันตาม
ระยะเวลา และ ตัวบุคคล
ด้านหนึ่ง ธรรมชาติของเรื่องเพศเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน และ
ซับซ้อน เหตุผลในการต่อต้านการละเมิดทางเพศในบทความ
ก้าวข้ามความถูกผิดด้านศีลธรรม ในความหมายที่ว่า เรื่องเพศ
เป็นเรื่อง “ผิดบาป” และ สังคมต้องกำกับควบคุมอย่างเข้มงวด
แต่อีกด้านหนึ่ง เหตุผลดังกล่าวก็ไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนการ
กำหนดกฎหมายที่ริดรอน “สิทธิในการขายสิทธิ” ในทุกกรณีไ
ป แต่ลองเปลี่ยนคำในบทความนี้ใหม่ จาก "การต่อต้านการ
ละเมิดทางเพศ" เป็น "ความจำเป็นในการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ" ดูค
รับ สวัสดิการของแรงงานจะเป็นอย่างไร ในสถานการณ์ที่สังคม
ไม่มีกติกากำหนดมาตราฐานความเป็นอยู่ของแรงงาน (ยินยอม
ให้แรงงานทำงานหนักในภาวะเสี่ยงภัย หรือ ยินยอมให้แรงงาน
รับอัตราค่าจ้างที่ต่ำกว่าค่าใช้จ่ายที่จำเป็นใน
การดำรงชีพอย่างมีศักดิ์ศรี) สองเรื่องนี้มันตรรกะเหมือนกันเป๊ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น